วันศุกร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2555

พื้นฐานเรื่องเครื่องยนต์ที่ควรรู้

-->
พื้นฐานเรื่องเครื่องยนต์ที่ควรรู้
ปัจจุบันปริมาณรถยนต์ตามถนนสายต่างๆ โดยเฉพาะในกรุงเทพมหานคร และปริมลฑล ได้เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว สืบเนื่องจาก รัฐบาลมีนโยบายคืนภาษีรถคันแรกเห็นได้จากรายงานของกรมการขนส่งทางบกที่ระบุว่า รถใหม่เข้าจดทะเบียน จำนวนมากเฉลี่ยเดือนละ 50,000 คัน จากปกติมีรถใหม่จดทะเบียนเฉลี่ยเดือนละ 20,000 คัน
                แต่อย่างไรก็ตาม รถใหม่ เจ้าของรถก็คงต้องเป็นมือใหม่  บทความนี้จะขอกล่าวถึง พื้นฐานเรื่องเครื่องยนต์ที่ควรรู้  เพราะมีผู้คนไม่น้อยที่มีรถ แต่ยังไม่เข้าใจในเรื่องของรถอย่างถ่องแท้  คำว่า ซีซี. ของเครื่องยนต์ในรถยนต์นั้น  ซึ่งเป็นหน่วยในการวัดปริมาตรความจุของกระบอกลูกสูบของเครื่องยนต์ ซีซี.= คิวบิกเซนติเมตร ในยุคที่ผู้ผลิตยังไม่มีความแตกต่างด้านเทคโนโลยีบรรจุไว้ในเครื่องยนต์มากนัก การใช้ซีซีเป็นพื้นฐานในการเดาความแรงแบบคร่าวๆ ยังพอบอกได้ว่าเครื่องยนต์ซีซีน้อยจะมีกำลังต่ำกว่า เครื่องยนต์ที่มีซีซีมาก แต่ในยุคปัจจุบันเป็นคนละเรื่องกัน
การเดากำลังของเครื่องยนต์จากซีซี ไม่ใช่เรื่องที่แม่นยำ ขึ้นอยู่กับรายละเอียดของเทคโนโลยี เช่น เครื่องยนต์ 2,000 ซีซี แคมชาฟท์เดี่ยว 8 วาล์ว คาร์บูเรเตอร์ เป็นไปได้ที่จะมีกำลังต่ำกว่าเครื่องยนต์ 1,800 ซีซี ที่พกเทคโนโลยีมาเพียบ ทวินแคม 16 วาล์ว หัวฉีด เทอร์โบ
ความทนทาน
ตามพื้นฐานของเครื่องยนต์ยุคเก่าเมื่อกว่า 10-20 ปีที่แล้ว ชิ้นส่วนต่างๆ ไม่ค่อยทนทาน และน้ำมันเครื่องยังมีคุณภาพไม่สูงมาก จึงมีมาตรฐานกลายๆ ว่า เครื่องยนต์จะหลวมเมื่อผ่านการใช้งานไป 100,000-150,000 กิโลเมตร มาตรฐานนี้สมควรถูกลบล้างไป เนื่องจากเครื่องยนต์ยุคนี้มีความทนทานขึ้นมาก หากได้รับการดูแลรักษาที่ดี อายุการใช้งานโดยเฉลี่ยมักเกิน 250,000 กิโลเมตร เครื่องยนต์บางรุ่นทนทานเกิน 400,000 กิโลเมตร
เครื่องยนต์หลวม
เรา สามารถสังเกตได้จากความผิดปกติได้คือ 1. กินน้ำมันเครื่องมากไหม ระยะทาง 3,000 กิโลเมตร ไม่ควรพร่องเกินครึ่งลิตร2. มีควันสีขาวออกทางท่อไอเสียไหม 3. ท่อไอเสียชื้นฉ่ำด้วยคราบน้ำมันเครื่องไหม
แต่อย่าเพิ่งสรุป เพราะอาการหลักของเครื่องยนต์หลวม คือ แหวน-กระบอกสูบ-ลูกสูบหลวม ทำให้แรงตก และน้ำมันเครื่องเล็ดลอดผ่านแหวนลูกสูบเข้าสู่ห้องเผ าไหม้ และเผาไหม้ออกมาเป็นควันสีขาว ทำให้กินน้ำมันเครื่อง
แต่การที่น้ำมัน เครื่องสามารถเล็ดลอดเข้าสู่ห้องเผาไหม้ อาจมาจากอีกทาง คือ ยางตีนวาล์ว (หรือหมวกวาล์ว) หมดสภาพทำให้น้ำมันเครื่องไหลผ่านก้านวาล์วไอดีลงมาใ นห้องเผาไหม้ได้ กรณีนี้ต้องวัดกำลังอัดในกระบอกสูบด้วยเครื่องมือ เพราะการซ่อมแซมจะเกี่ยวกับส่วนของฝาสูบเท่านั้น แหวนลูกสูบยังไม่หลวม
น้ำมันเครื่อง
ไม่ได้ทำหน้าที่แค่การหล่อลื่น ยังช่วยระบายความร้อน ป้องกันสนิม และทำความสะอาดภายในเครื่องยนต์อีกด้วย การใช้น้ำมันเครื่องคุณภาพต่ำ หรือละเลยต่อการเปลี่ยนถ่าย อาจไม่ส่งผลชัดเจนในทันที แต่แน่นอนว่าเครื่องยนต์จะหลวมเร็วขึ้น และกำลังอาจลดลงบ้าง

เครื่องยนต์หัวฉีด
เมื่อ มีปัญหาเกิดขึ้น อย่ารีบสรุปลงไปที่กล่องอีซียูเสีย เพราะไม่ได้เสียกันง่ายๆ ควรตรวจสอบเป็นจุดๆ ไป พื้นฐานปัญหาก็มีเหมือนกับเครื่องยนต์คาร์บูเรเตอร์ คือ หัวเทียนบอด ไส้กรองตัน วาล์วรั่ว สายหัวเทียนขาดใน  ปั๊มเสีย ฯลฯ
โมดิฟาย
เพิ่มจาก 2 ทางเลือกหลัก คือ 1. เปลี่ยนเครื่องยนต์ใหม่ เหมาะกับรถยนต์ญี่ปุ่น เพราะมีเครื่องยนต์และอะไหล่เก่าจากญี่ปุ่นจำนวนมาก 2. ปรับแต่งเครื่องยนต์เดิม เหมาะสำหรับรถยนต์ยุโรป ที่เครื่องยนต์เก่าราคาแพง
หาก เลือกแต่งแบบเบาะๆ กับเครื่องยนต์เดิม ไม่หนักหน่วงถึงขนาดติดตั้งเทอร์โบ ก็ทำได้แค่ภายนอกเครื่องยนต์ เช่น เปลี่ยนไส้กรองอากาศ หัวเทียน สายหัวเทียน เฮดเดอร์-ท่อไอเสีย รวมกันแล้วไม่น่าได้กำลังเพิ่มขึ้นเกิน 5-10 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น !
ไส้กรองอากาศ หากตัน แรงตก กินน้ำมัน
ถ้าหมดอายุและปล่อยให้ฝุ่นละอองรั่วเข้าสู่เครื่องยนต์ไ ด้ นอกจากแหวน-ลูกสูบ-กระบอกสูบจะสึกหรอเร็วกว่าปกติ ยังมีผลทำให้น้ำมันเครื่องสกปรกและหมดอายุเร็วขึ้น เพราะฝุ่นละอองเล็ดลอดผ่านแหวนลูกสูบลงไปผสมกับน้ำมั นเครื่องด้านล่าง
สายพานไทม์มิ่ง
สายพานไทม์มิ่งหรือสายพานราวลิ้น เป็นสายพานขับเคลื่อนแคมชาฟท์ของเครื่องยนต์ที่มีแคม ชาฟท์เหนือฝาสูบเครื่องยนต์ทุกรุ่นไม่ได้ใช้ระบบนี้เสมอไป อาจใช้โซ่โลหะแทน แต่ถ้าใช้ระบบสายพานไทม์มิ่งซึ่งมีส่วนผสมของยาง อายุการใช้งานที่ผู้ผลิตกำหนดไว้เฉลี่ย 100,000 กิโลเมตร แต่นั่นเป็นมาตรฐานในต่างประเทศที่อากาศไม่ร้อนจัด การจราจรไม่ติดขัดมากการ ใช้งานในเมืองไทย ถ้าใช้ในกรุงเทพฯ การจราจรติดขัด เครื่องยนต์หมุนตลอดเวลา แต่ระยะทางไม่ค่อยขึ้น ควรเปลี่ยนที่ 50,000-60,000 กิโลเมตร ต่างจังหวัดจราจรไม่ติดขัด ควรเปลี่ยนที่ 60,000-80,000 กิโลเมตร เพราะถ้าสายพานไทม์มิ่งขาด จะเกิดความเสียหายมาก เช่น วาล์วคด ลูกสูบร้าว ฯลฯ

ขอบคุณข้อมูลจาก : BMW E46 Thailand

วันพฤหัสบดีที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2555

ฮอนด้าเตรียมเปิดรถยนต์ซีดาน 4 ประตูรุ่นใหม่เร็วๆนี้

-->

ฮอนด้าเตรียมเปิดรถยนต์ซีดาน 4 ประตูรุ่นใหม่เร็วๆนี้
ค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่ ฮอนด้าเตรียมเปิดรถยนต์ซีดาน 4 ประตูรุ่นใหม่เร็วๆนี้ เพิ่มไลน์รถยนต์ที่ได้รับสิทธิ์คืนเงินภาษีรถยนต์คันแรกเป็น 6 รุ่น
กรุงเทพฯ วันที่ 25 กันยายน 2555 – บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด เดินหน้าตอกย้ำความมุ่งมั่นในการนำเสนอยนตรกรรมเพื่อตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ พร้อมสนับสนุนนโยบายรถยนต์คันแรกของรัฐบาล โดยปัจจุบันฮอนด้ามีรถยนต์ 5 รุ่น ที่ได้รับการอนุมัติให้เข้าร่วมโครงการรถยนต์คันแรกของกรมสรรพสามิต กระทรวงการคลัง ประกอบด้วย รถยนต์ฮอนด้ารุ่นบริโอ้  แจ๊ซ  แจ๊ซไฮบริด  ซิตี้  และ ซิตี้ ซีเอ็นจี  ซึ่งลูกค้าที่สนใจสามารถจองเพื่อขอรับสิทธิ์ได้ภายใน 31 ธันวาคม ศกนี้
ฮอนด้าเตรียมสร้างประวัติศาสตร์ให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยอีกครั้งเร็วๆนี้ ด้วยการเตรียมการเปิดตัวรถยนต์ซีดาน 4 ประตูรุ่นใหม่ล่าสุด   รถยนต์รุ่นใหม่จะมีขนาดเครื่องยนต์ 1.2 ลิตร 4 สูบ 16 วาล์ว 90 แรงม้า ดีไซน์โดดเด่นล้ำสมัยทั้งภายนอกและภายใน พื้นที่ห้องโดยสารสะดวกสบายกว้างขวาง พร้อมพื้นที่ห้องสัมภาระด้านหลังที่สามารถบรรจุถุงกอล์ฟได้ถึง 2 ใบ  ครบครันด้วยอุปกรณ์ความปลอดภัย ด้วยระบบเบรกป้องกันล้อล็อก  (ABS)
ถุงลมนิรภัยคู่หน้า Dual SRS ในทุกเกรด  เพื่อเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับลูกค้ารถยนต์คันแรกในไตรมาส 4 ก่อนปิดโครงการ  เมื่อเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่นี้แล้วจะส่งผลให้ฮอนด้ามีรถยนต์ที่เข้าร่วมโครงการรถยนต์คันแรกถึง 6 รุ่น สำหรับลูกค้าที่สนใจข้อมูลของรถยนต์รุ่นใหม่นี้สอบถามเพิ่มเติมได้ที่โชว์รูมฮอนด้าทั่วประเทศ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
ตารางรายละเอียดรถยนต์ฮอนด้าที่เข้าร่วมโครงการรถยนต์คันแรก และเงินคืนภาษี (ข้อมูลเฉพาะ 5 รุ่นปัจจุบัน)
แหล่งที่มา : ฮอนด้าประเทศไทย

ฮอนด้าเปิดตัวซิตี้ ซีเอ็นจี

ฮอนด้าเปิดตัวซิตี้ ซีเอ็นจี
      รุ่นแรกของฮอนด้าเติมเต็มความต้องการ ของกลุ่มลูกค้าที่มองหารถยนต์พลังงานทางเลือกรถยนต์ขนาด 1.5 ลิตรรุ่นแรกที่ติดตั้ง CNGประกอบสำเร็จจากโรงงานล้ำหน้าด้วยเทคโนโลยีมาตรฐานความปลอดภัยสูงสุด พร้อมรับประกัน 3 ปีรับสิทธิประโยชน์คืนภาษีรถยนต์คันแรก 100,000 บาท
         กรุงเทพฯ วันที่ 28 สิงหาคม 2555 -- บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศเปิดตัว ซิตี้ ซีเอ็นจี ซึ่งเป็นรถ ซีเอ็นจี รุ่นแรกของฮอนด้า มาตรฐานใหม่ของชีวิตฉลาดเลือกกับความคุ้มค่าด้วยเครื่องยนต์ i-VTEC 1.5 ลิตร รองรับทั้งระบบน้ำมันเชื้อเพลิง และระบบก๊าซ CNG ที่มาพร้อมกับระบบการจ่ายก๊าซแบบหัวฉีดอิเล็กทรอนิกส์และระบบกันสะเทือนที่ได้รับการออกแบบโดยเฉพาะ มั่นใจกับระบบความปลอดภัยด้วยกล่องควบคุมอิเล็กทรอนิกส์ และคานเสริมความแข็งแกร่ง เพิ่มเสถียรภาพในการทรงตัว ฮอนด้าซิตี้ ซีเอ็นจีได้รับการประกอบสำเร็จจากโรงงานเพื่อให้ลูกค้ามั่นใจในมาตรฐานความปลอดภัยสูงสุด ทั้งยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมด้วยมาตรฐาน Euro4 รับประกันคุณภาพสูงสุด 3 ปีหรือ 100,000 กม.* พร้อมรับสิทธิประโยชน์คืนภาษีรถยนต์คันแรกสูงสุด 100,000 บาท เริ่มต้นราคา 659,000 ถึง 706,000 บาท มีจำหน่ายแล้วที่โชว์รูมฮอนด้าทั่วประเทศ

           นายพิทักษ์ พฤทธิสาริกร รองประธานอาวุโส บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า จากความมุ่งมั่นในการคิดค้นยนตรกรรมพลังงานสะอาดและการใช้พลังงานทางเลือก เพื่อตอบสนองนโยบายด้านสิ่งแวดล้อม Blue Skies for Our Children ซึ่งฮอนด้าทั่วโลกต่างมุ่งมั่นในการลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ลง 30% (เมื่อเทียบกับปี 2543) ในทุกผลิตภัณฑ์ให้ได้ภายในปี 2563 สอดคล้องกับปัญหาด้านราคาพลังงานเชื้อเพลิงที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ฮอนด้าตระหนักถึงภาระค่าใช้จ่ายของผู้ใช้รถ ควบคู่กับการคำนึงถึงมาตรฐานความปลอดภัยจึงได้นำรถยนต์ฮอนด้า ซิตี้ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในรถยนต์ที่ได้รับความนิยมสูงสุดของฮอนด้า เข้ามาเติมเต็มไลฟ์สไตล์และความต้องการของลูกค้าชาวไทยที่กำลังมองหารถยนต์พลังงานทางเลือก ที่ให้สมรรถนะสูง ให้การประหยัดอย่างคุ้มค่า มาพัฒนาต่อยอดให้สามารถรองรับระบบก๊าซ CNG อย่างปลอดภัยควบคู่ไปกับการรักษาจุดเด่นของรถซิตี้ไว้อย่างครบถ้วนทั้งรูปลักษณ์ดีไซน์ พื้นที่จัดเก็บสัมภาระที่คงความกว้างขวาง ความแข็งแกร่งและสมรรถนะที่เป็นเยี่ยม นับเป็นรถยนต์รุ่นแรกในกลุ่มรถยนต์ซับคอมแพคท์ ขนาดเครื่องยนต์ 1.5 ลิตรที่สามารถใช้ทั้งน้ำมันเชื้อเพลิงและก๊าซ CNG เพื่อให้ผู้บริโภคมีทางเลือกที่ให้ความคุ้มค่าสูงสุดนอกจากนี้ ซิตี้ ซีเอ็นจียังเป็นรถยนต์ที่ได้รับสิทธิคืนภาษีรถยนต์คันแรกสูงสุด 100,000 บาทนายพิทักษ์กล่าว
         ฮอนด้า ซิตี้ ซีเอ็นจี ใช้ขุมพลังเครื่องยนต์ i-VTEC 1.5 ลิตร กำลังสูงสุด 102 แรงม้า ที่ 6,600 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 12.9 กก.ม.ที่ 4,800 รอบต่อนาที สามารถรองรับพลังงาน 2 ระบบ ทั้งน้ำมันและก๊าซ CNG ได้มาตรฐานมลพิษระดับ Euro 4 ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ การเลือกใช้พลังงานสะดวกและง่ายดาย เพียงปรับเปลี่ยนสวิตช์เลือกใช้ชนิดเชื้อเพลิง จะมีไฟแสดงสถานะการใช้เชื้อเพลิงและ ไฟแสดงปริมาณก๊าซ ควบคุมการทำงานด้วยกล่องควบคุมอิเล็กทรอนิกส์ (ECU) ประมวลผลอย่างแม่นยำในการจ่ายก๊าซอย่างเหมาะสมและตัดการจ่ายก๊าซในกรณีฉุกเฉิน ระบบจ่ายเชื้อเพลิงแบบหัวฉีดอิเล็กทรอนิกส์คุณภาพสูง และท่อนำก๊าซแรงดันสูงผลิตจากสแตนเลสที่มีความทนทานและอุปกรณ์ลดแรงดันก๊าซ ทำหน้าที่ปรับลดแรงดันก๊าซให้เหมาะสมกับการใช้งานมากที่สุด การติดตั้งหัวรับเชื้อเพลิง CNG ใกล้จุดเติมน้ำมัน พร้อมลิ้นป้องกันการไหลย้อนกลับของก๊าซ ถังก๊าซความจุ 65 ลิตรพร้อมแผงกั้นแบ่งพื้นที่ติดตั้งถังก๊าซและห้องสัมภาระด้านท้าย เพื่อความสวยงามและป้องกันการกระแทกบริเวณห้องสัมภาระด้านท้าย
ฮอนด้า ซิตี้ ซีเอ็นจี มาพร้อมกับเกียร์อัตโนมัติ 5 จังหวะ ควบคุมด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ Grade Logic Control ให้การตอบสนองฉับไว พร้อมระบบพวงมาลัยแบบแร็คแอนด์พีเนียนพร้อมเพาเวอร์ผ่อนแรงแบบไฟฟ้า (EPS) เพิ่มความมั่นใจในการยึดเกาะถนนด้วยการติดตั้งระบบกันสะเทือนหน้า-หลังที่ได้รับการออกแบบเฉพาะสำหรับระบบ CNG เพื่อการทรงตัว และให้ความนุ่มนวลในการขับขี่ ภายในโครงสร้างรถด้านหลังออกแบบเพิ่มคานเสริมความแข็งแกร่ง (Cross Bar) เพิ่มเสถียรภาพในการขับขี่ตลอดการเดินทาง พร้อมเหล็กกันโคลงซึ่งให้ความนุ่มนวลมั่นคงในทุกสภาพถนน มาตรฐานความปลอดภัยในระดับสากล ด้วยโครงสร้างตัวถังนิรภัย G-CON ที่ผ่านการทดสอบการชนตามมาตรฐานฮอนด้า ถุงลมคู่หน้า Dual SRS และระบบป้องกันล้อล็อก ABS พร้อมระบบกระจายแรงเบรก EBD ให้ความมั่นใจในทุกการขับขี่
        ฮอนด้า ซิตี้ ซีเอ็นจียังคงความโดดเด่น สวยงาม ด้วยรูปลักษณ์โฉบเฉี่ยวแบบสปอร์ต ภายในห้องโดยสารกว้างขวาง สะดวกสบาย พร้อมด้วยอุปกรณ์อำนวยความสะดวกต่างๆครบครัน ที่มีดีไซน์ล้ำสมัย แผงคอนโซลหน้าตกแต่งโครเมียม มาตรวัดเรืองแสง Blue Light ระบบเครื่องเสียงโมดูลแบบAdvanced Audio ให้ความเพลิดเพลินตลอดการเดินทาง (อุปกรณ์แตกต่างเฉพาะรุ่น)
ฮอนด้า ซิตี้ ซีเอ็นจี มีให้เลือก 2 รุ่น คือ รุ่น S CNG ราคา 659,000 บาท และรุ่น V CNG ราคา 706,000 บาท มีให้เลือก 6 สี แดงคาร์เนเลียน (มุก) น้ำตาลสปาร์คลิ่ง (เมทัลลิก) เงินอลาบาสเตอร์ (เมทัลลิก) เทาโพลิชเมทัล (เมทัลลิก) ขาวทาฟเฟต้า และสีดำคริสตัล(มุก)
ลูกค้าที่สนใจสามารถชมรถได้ที่ฮอนด้าโชว์รูมทั่วประเทศ หรือหาข้อมูลได้ที่ www.honda.co.th

เกี่ยวกับบริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด
           บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด มีโรงงานผลิตตั้งอยู่บนเนื้อที่ 530 ไร่ ในสวนอุตสาหกรรมโรจนะ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งเป็นโรงงานผลิตที่ใหญ่เป็นอันดับหกของโรงงานฮอนด้าทั่วโลก รองจากญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา จีน แคนาดาและสหราชอาณาจักร และเป็นหนึ่งในโรงงานที่ก้าวหน้าที่สุดและทันสมัยที่สุดในโลกของฮอนด้าทั้งในด้านเทคโนโลยีการผลิต มาตรฐานสิ่งแวดล้อม และการออกแบบสายการผลิตที่เหมาะสมกับการทำงานของพนักงาน ปัจจุบัน มีการจ้างงานพนักงานรวมกว่า 6,400 คน และมีกำลังผลิต 240,000 คันต่อปี ผลิตรถยนต์ฮอนด้าทั้งหมด 6 รุ่นได้แก่ บริโอ้ แจ๊ซ ซิตี้ ซีวิค แอคคอร์ด และซีอาร์-วี สำหรับจำหน่ายในประเทศไทยและส่งออกไปยังประเทศต่างๆ กว่า 56 ประเทศทั่วโลก

แหล่งที่มา : ฮอนด้าประเทศไทย
-->

วันพฤหัสบดีที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2555

ข่าวทอปฮีตเมาแล้วขับ

-->
ข่าวทอปฮีตเมาแล้วขับ 
กฎหมาย เมาแล้วขับ  ดูเหมือนว่าโทษค่อนข้างจะรุนแรง ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของเงินค่าปรับและทั้งจำ  รวมถึงการเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่แก่ผู้ขับขี่อีกด้วย  และที่สำคัญประกันภัยรถยนต์ไม่จ่ายค่าสินไหมทดแทนถ้าเกิดอุบัติเหตุ  และพบแอลกอฮอล์ในตัวเลือดผู้ขับขี่ สูง 82 มิลลิกรัมเปอร์เซนต์ ซึ่งเกินกว่าที่กฏหมายกำหนด 
แต่ถึงกระนั้นแล้วคนไทยก็ยังไม่ได้กลัวเกรงต่อกฎหมายแต่อย่างใด  ยังคงมีข่าว เมาแล้วขับออกมาให้เห็นอยู่บ่อยๆ ล่าสุดข่าว ดารา กิ๊ฟซ่า เกิร์ลลี่เบอรี่โดนเรียกตรวจวัดแอลกอฮอล์ หลังเมาแล้วขับต้องขึ้นโรงขึ้นศาล  จนเป็นข่าวทอปฮีตไปในที่สุด 
ติดตามข่าวได้ที่
วันอังคารที่ 11 กันยายน 2555 เวลา 12:52 น.

การนำรถยนต์ส่วนตัวขับท่องเที่ยวในลาว

-->
การนำรถยนต์ส่วนตัวขับท่องเที่ยวในลาว 
ปัจจุบันประเทศลาวเพื่อนบ้านไทยเรา  ได้มีการพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างอย่างต่อเนื่อง และเปิดต้อนรับนักท่องเที่ยวเพื่อสัญจรท่องเที่ยวไปตามสถานที่สำคัญต่างๆ ของประเทศลาว  เนื่องจากลาวมีแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจอยู่เป็นจำนวนมาก  ขุนเขา ลำน้ำ อุโมงค์ และ เมืองต่างๆที่มีภูมิทัศน์มหัศจรรย์ที่สวยสดงดงามตาที่ธรรมชาติมอบไว้ให้ ตระการไปกับภาพอดีตแห่งความรุ่งเรืองบอกเล่าเรื่องราวความเป็นมาต่างๆของอาณาจักร ล้านช้าง ลาวมีสภาพไม่ต่างไปจากไทยเมื่อสมัย 30 ปีก่อน
แต่การท่องเที่ยวที่ได้อรรถรส  และเกิดการคล่องตัวในการเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ นั้น คงหนีไม่พ้นการนำรถยนต์ส่วนตัวขับท่องเที่ยวในลาว  แต่การนำรถยนต์ส่วนตัวข้ามไปฝั่งลาวนั้น ก็ต้องมีขั้นตอนตามกฎหมายกันหน่อย  เพื่อจะได้ไม่เข้าข่ายการขโมยรถออกนอกประเทศ ลองศึกษาดูเผื่อมีใครอยากจะไปท่องเที่ยวเมืองลาวบ้าง
ขั้นตอนการจัดทำเอกสารเพื่อนำรถออกนอกราชอาณาจักรเพื่อการท่องเที่ยว
1. พาสปอร์ตรถ (เล่มสีม่วงดังตัวอย่าง) ซึ่งสามารถขอทำได้ที่ แผนกทะเบียนฯ กรมการขนส่งจังหวัดทุกจังหวัด(กรุงเทพ-หน้าสวนจตุจักร) ราคาเล่มละ 50 บาท การต่ออายุจะเป็นแบบปีต่อปี ค่าต่ออายุเล่มละ 25 บาท(หากหมดอายุไปแล้วไม่ต่อก็ได้หรือมาต่อใหม่ภายหลังก็ไม่เสียค่าปรับ) เอกสารประกอบคือสมุดประจำรถตัวจริง ชื่อผู้ขออนุญาตกับผู้ครอบครองต้องเป็นคนๆ เดียวกัน
2. ใบขับขี่แบบใหม่ (บัตรแข็ง Smart Card) ซึ่งสามารถใช้เป็นใบขับขี่ได้ตามปกติ และยังใช้ขับขี่ระหว่างประเทศในอาเซียน 10 ประเทศได้อีกด้วย ขั้นตอนการขอก็ไม่ยาก คุณสามารถนำใบอนุญาตขับขี่เดิมที่ใช้อยู่ในปัจจุบันไปยื่นความจำนงขอเปลี่ยนเป็นบัตรแบบแข็ง (Smart Card) ได้ที่แผนกใบอนุญาตฯ กรมการขนส่งจังหวัดทุกจังหวัด โดยเสียค่าธรรมเนียมในการขอเปลี่ยนฉบับละ 165 บาท วันหมดอายุสำหรับบัตรใหม่นั้น จะอ้างอิงตามบัตรเก่าที่คุณมีอยู่ หมายความว่าถ้าผู้ใดถือใบอนุญาตขับขี่ตลอดชีพ บัตรใหม่ก็จะเป็นแบบตลอดชีพเช่นเดียวกันหรือถ้าเป็นใบอนุญาตขับขี่แบบ 1 ปี วันหมดอายุของบัตรใหม่ก็จะหมดตามบัตรเก่าของคุณนั่นเอง หลังจากยื่นเรื่องเรียบร้อยแล้ว จากนั้นไปรอเจ้าหน้าที่ถ่ายรูปเพื่อติดใบขับขี่ฉบับใหม่ได้เลย
3.ใบขับขี่สากล การทำใบขับขี่สากลนั้นสามารถยื่นเรื่องติดต่อได้ที่กรมการขนส่งทางบกจังหวัดเช่นเดียวกันและใช้เวลาเพียง 2 ชั่วโมง ก็ได้รับเล่มเรียบร้อย ราคาค่าธรรมเนียม 505 บาท ต่ออายุปีต่อปี เช่นเดียวกับพาสปอร์ตรถ (หากหมดอายุถ้าไม่ต่อก็ไม่เสียค่าปรับเช่นเดียวกัน) ใบขับขี่สากลนี้นอกจากคุณจะใช้ขับรถเก๋ง กระบะ แล้วยังใช้ขับมอเตอร์ไซด์ รถบรรทุกไม่เกิน 6 ล้อ ได้อีกด้วย
                4.ป้ายทะเบียนรถระหว่างประเทศ อันนี้ก็เป็นระเบียบใหม่ที่เพิ่งออกมาเช่นเดียวกับใบขับขี่แบบ Smart  Card เพื่อใช้สำหรับรถที่เดินทางออกจากประเทศเพื่อจะไปยังประเทศ ลาว เวียดนาม กัมพูชา การยื่นขอป้ายทะเบียนระหว่างประเทศนั้นสามารถยื่นเรื่องขอทำได้ที่แผนกทะเบียนฯ กรมการขนส่งจังหวัดทุกจังหวัดได้เช่นเดียวกันกับพาสปอร์ตรถ (เล่มสีม่วง) แต่มีจุดที่แตกต่างกับการทำพาสปอร์ตรถคือ พาสปอร์ตรถคุณสามารถยื่นเรื่องขอได้ที่ขนส่งทุกจังหวัดทั่วประเทศไม่ว่ารถคุณจะขึ้นทะเบียนที่จังหวัดใด แต่ ป้ายทะเบียนรถระหว่างประเทศคุณต้องยื่นเรื่องขอเฉพาะขนส่งที่รถคุณได้ขึ้นทะเบียนไว้เท่านั้น ค่าธรรมเนียม 200 บาท รอรับป้ายภายใน 20 วันหลังจากคุณมี พาสปอร์ตรถและใบขับขี่แบบใหม่พร้อมทั้งป้ายทะเบียนรถระหว่างประเทศ  เรียบร้อยแล้วทีนี้คุณก็สามารถขับรถมาเที่ยวที่ลาวได้แล้วครับ

ขั้นตอนการผ่านแดน ไทย-ลาว
อันดับแรกต้องมากรอกเอกสารที่เรียกว่า ใบขนส่งสินค้าพิเศษ (เป็นชื่อแบบฟอร์มของ ตม.) และ ใบรายละเอียดของพาหนะ  ซึ่งขั้นตอนนี้คุณก็กรอกลงไปเกี่ยวกับข้อมูลของคุณ+จำนวนผู้ติดตามในรถ และรายละเอียดของรถที่คุณจะนำออกนอกประเทศ จากนั้นต้องเก็บไว้ให้ดี เพราะ ด่าน ตม. จะเอาคืนเวลาคุณกลับเข้าประเทศ (ป้องกันการขโมยรถออกนอกประเทศเช่นเดียวกัน) เมื่อเสร็จขั้นตอนต่างๆ แล้วเจ้าหน้าประทับตราขาออกก็เท่ากับว่าขั้นตอนทางฝั่งไทยเรียบร้อย ขั้นตอนดังกล่าวนี้ไม่เสียค่าธรรมเนียมใดๆ ทั้งสิ้น
                จากนั้นเมื่อมาถึงด่าน ตม.ของลาว คุณจะต้องทำเอกสาร 2 ส่วนคือ  ใบติดตามพาหนะเข้าชั่วคราว และทำประกันภัย ซึ่งคุณสามารถกรอกเป็นภาษาไทยได้  ส่วนหัวด้านซ้ายตัดเพื่อติดหน้ากระจกรถของคุณ  รายละเอียดจะคล้ายๆ กับที่ทำฝั่งไทย แต่จะมีให้กรอกข้อมูลสอบถามถึงผู้ค้ำประกัน ตรงนี้คุณก็กรอกชื่อของคุณได้เลย และจะต้องกรอกระยะเวลาในการนำรถเข้ามาด้วยว่ามากี่วัน (ค่าธรรมเนียม แตกต่างกัน) ในตัวอย่างเข้าวันที่ 9/7/2007 ออก 15/7/2007 รวม 7 วัน ซึ่งเอกสารตรงนี้คุณสามารถนำรถขับท่องเที่ยวไปได้ทั่วประเทศลาว
                และไม่จำเป็นต้องกลับออกมาทางด่านเก่าก็ได้ เช่น คุณขับรถเข้าทางด่านหนองคายแล้วขึ้นมาเที่ยวที่หลวงพระบาง จากนั้นขากลับคุณจะกลับทางด่านห้วยทรายเพื่อกลับทางเชียงของก็ได้ (แต่อย่าให้เกินวันที่อนุญาตแล้วกัน ไม่งั้นจะถูกปรับ)
รวมค่าใช้จ่ายโดยประมาณ
- ฝั่งไทย ไม่เสียค่าธรรมเนียมใดๆทั้งสิ้น
- ฝั่งลาว ค่าธรรมเนียมประกันภัยรถ  ราคาแตกต่างกันแล้วแต่จำนวนวันที่เดินทางมา เช่น 7 วัน ประมาณ 60000 กีบ (240 บาทโดยประมาณ)
                - ค่าธรรมเนียม (รถ+คน) ผ่านด่านเข้าเมือง คนละ 200 บาท
- ค่าธรรมเนียมที่ใช้พาสปอร์ตในการเข้าเมืองอีก คนละ 10 บาท
ขอบคุณข้อมูลจาก

วันอาทิตย์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2555

รถยนต์ไฮโดรเจน คันแรกของไทย Hydrogen Cars

-->

รถยนต์ไฮโดรเจน คันแรกของไทย  Hydrogen Cars
หลายๆ ท่านที่เป็นคอรถยนต์  คงได้ติดตามข่าวคราวเทคโนโลยีในการผลิตรถยนต์ประหยัดพลังงาน และลดภาวะโลกร้อน ไม่ว่าจะเป็น รถไฮบริดและรถยนต์ไฟฟ้า (Hybrid and Electric Cars) ที่กำลังเป็นที่จับตามอง หรือจะเป็น รถยนต์ไฮโดรเจน (Hydrogen Cars)
         ขณะที่ทุกๆ ประเทศ ทั่วโลกกำลังคิดค้นพลังงานทดแทนอย่างขะมักเขม้น ด้านประเทศไทยของเราก็ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ทุกฝ่ายทั้งภาครัฐและเอกชนต่างระดมความคิดในการหาทางออกเพื่ออนาคต . . .
         และแล้วความพยายามก็เป็นผล เมื่อคนไทยสามารถ ผลิตรถยนต์ที่ใช้พลังงานจากไฮโดรเจนได้เป็นผลสำเร็จ โดยมี พล.อ.ท.มรกต ชาญสำรวจ เป็นหัวหน้าทีมโครงการวิจัยและพัฒนารถยนต์พลังงานไฮโดรเจนที่แยกจากน้ำ และทีมวิจัยอีก 14 ชีวิต ภายใต้ บริษัท คลีนฟูเอล เอ็นเนอร์ยี เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด 
         อวดสายตาผู้คนไปเมื่อวันก่อนที่ทำเนียบ ก่อนการประชุม ครม. โดย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้ความสนใจ และทดลองขับรถยนต์พลังงานไฮโดรเจนที่ใช้พลังงานไฮโดรเจนเป็นเชื้อเพลิงคันแรก ที่ผลิตโดยฝีมือคนไทยขนาด 4 ที่นั่ง ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สร้างความฮือฮาได้ไม่น้อย
         เส้นทางของรถยนต์คันนี้มีความเป็นมาอย่างไร หัวหน้าทีมวิจัยวัย 75 ปี แต่ยังมีไฟอยู่ เล่าให้ฟังว่า ใช้เวลาในการคิดค้นกว่า 7 ปี ตั้งแต่สมัยที่น้ำมันเริ่มมีราคาสูงขึ้น จากการศึกษาเทคโนโลยีของต่างประเทศที่ประสบความสำเร็จ อย่างประเทศแคนาดา มีการทดลองในรูปแบบต่างๆ และสะสมความรู้เอาไว้ รวมทั้ง มีทีมงานที่ทุ่มเทตั้งใจทำงานกันทุกคน จนมาเริ่มลงมือทำอย่างจริงจังหลังจากที่ทาง สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) โดย ศ.ดร.อานนท์ บุณยะรัตเวช เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ได้ให้ความสนใจและให้งบประมาณสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาเซลล์เชื้อเพลิง (Fuel Cell) สำหรับใช้ในอุตสาหกรรมรถยนต์ จำนวน 14 ล้านบาท เมื่อปี พ.ศ. 2550 ที่ผ่านมา


หัวใจในการขับเคลื่อนของรถยนต์ไฮโดรเจนอยู่ที่ เซลล์เชื้อเพลิง ซึ่งประกอบไปด้วยแผ่นเยื่อบางๆ ใสๆ เหมือนแผ่นกันแสงคล้ายฟิล์มในรถยนต์ เรียกว่า MEA ที่ย่อมาจาก Membrane Electrode Assembly เรียกเป็นภาษาไทยว่า เยื่อแลกเปลี่ยนโปรตรอน โดยทั้ง 2 ด้านของ MEA จะประกอบด้วยแผ่นไบโพลา (Bipola Plate) ที่ทำจากแกร์ไฟต์ ประกอบเรียงกันเป็นเซลล์เชื้อเพลิง 1 สแตค (Stack) โดยแผ่นไบโพลา จะทำหน้าที่ส่งไฮโดรเจนเพื่อเข้า ไปแยกที่ MEA ให้เป็นไฟฟ้าไปยังมอเตอร์ และทำหน้าที่รวมกับออกซิเจนทำให้เกิดเป็นน้ำออกมา
         "เมื่อไฮโดรเจนผ่านเข้ามาจะเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่นโดยอาศัยแผ่นไบโพลาเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาทำให้เกิดอิเล็ก ตรอนอิสระที่เป็นกระแสไฟฟ้าเคลื่อนผ่านตัวนำไฟฟ้าส่งไปยังมอเตอร์เพื่อขับเคลื่อนรถยนต์ และเมื่ออิเล็กตรอนไหลวน ครบวงจรจะกลับมารวมกับไฮโดรเจนประจุบวกและออกซิเจนที่อยู่ในอากาศเกิดเป็นน้ำออกมา ซึ่งเป็นการทำงานที่ไม่เกิดมลพิษและก่อให้เกิดเสียงดังของเครื่องยนต์แต่อย่างใด"
         พล.อ.ท.มรกต กล่าวถึงประสิทธิภาพของรถให้ฟังว่า มีการติดตั้งมอเตอร์ให้ขับเคลื่อนเพลาล้อแทนเครื่องยนต์ โดยใช้กระแสไฟฟ้าจากเซลล์เชื้อเพลิงขนาด 8 กิโลวัตต์ ที่ติดตั้งอยู่ ส่วนหน้ารถ ลักษณะตัวรถขึ้นรูปจากโครงเหล็ก และตัวถังหุ้มด้วยไฟเบอร์กลาส มีที่นั่งเป็นเบาะหนัง
         "โดยรถจะใช้กระแสไฟฟ้าเพียง 4 กิโลวัตต์ จึงมีกระแสไฟฟ้าเหลือพอที่จะนำไปใช้กับระบบทำความเย็น และเครื่องเสียงภายในรถอีกด้วย และบรรจุไฮโดรเจน 900 ลิตร น้ำหนัก 70 กรัม ใส่ถังไว้ด้านหลังของตัวรถ สามารถวิ่งได้ระยะทาง 40 กิโลเมตร ด้วยความเร็ว 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง หรือประมาณ 20-30 นาที จะต้องมีการเติมไฮโดรเจนใหม่อีกครั้ง ซึ่งการขับเคลื่อนของรถไฮโดรเจนจะวิ่งเร็วแค่ไหนขึ้นอยู่กับพลังงานของมอเตอร์ที่ใส่เข้าไป สำหรับรถไฮโดรเจนคันนี้จะมีอายุการใช้งานได้ประมาณ 4 ปี เพราะเยื่อแลกเปลี่ยนโปรตรอนจะเสื่อมต้องเปลี่ยนแผ่นใหม่ แต่แผ่นไบโพลายังใช้ได้อยู่"
         ด้านแหล่งที่มาของไฮโดรเจนนั้น เฉพาะที่นิคมอุตสาหกรรมอิสเทิร์นซีบอร์ด ซึ่งมีโรงงานทำแก้ว โรงงานเม็ดพลาสติก โรงงานแยกแก๊ส มีการปล่อยไฮโดรเจนรวมกันแล้วชั่วโมงละประมาณ 20 ตัน ทิ้งไปในอากาศ ไม่มีการนำมาใช้หรือถ้ามีก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งสามารถนำมากักเก็บไว้ใช้กับรถไฮโดรเจนได้อย่างน้อยกว่าแสนคัน
         รถยนต์ไฮโดรเจนคันนี้ ทำให้ไทยเป็นประเทศที่ 6 ของโลก ที่สามารถผลิตออกมาใช้งานได้จริงบนท้องถนน หลังจากที่ แคนาดา สหรัฐอเมริกา เยอรมนี ญี่ปุ่น และจีน ผลิตสำเร็จมาแล้ว
         "หากมีการนำมาใช้ในรถยนต์ทั่วไปเพื่อขับเคลื่อนบนท้องถนน จำเป็นต้องมีการติดตั้งตัวถังไฮโดรเจนให้บรรจุก๊าซไฮโดรเจนได้มากขึ้น สำหรับป้อนเซลล์เชื้อเพลิงเพื่อขับเคลื่อนเป็นพลังงานไฟฟ้าในระยะทางที่ไกลขึ้น ยอมรับว่ารถยนต์ไฮโดรเจนคันนี้มีต้นทุนการผลิตรวมแล้วประมาณ 3 ล้านบาท ซึ่งเป็นราคาที่ค่อนข้างสูง แต่หากในอนาคตภาครัฐมีการสนับสนุนให้เป็นพลังงานทางเลือกที่ต้องศึกษาพัฒนาต่อไป เชื่อว่าต้นทุนการผลิตจะลดลงได้"
         หลังจากที่ผลิตรถยนต์ไฮโดรเจน ขนาด 4 ที่นั่ง ได้เป็นผลสำเร็จแล้ว มีการต่อยอดเพิ่มขึ้น โดย นายประสิทธิ์ โพธสุธน ประธานคณะกรรมาธิการวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีการสื่อสารและโทรคมนาคมวุฒิสภา มีข้อสรุปว่า รถยนต์ไฮโดรเจนยังเป็นเทคโนโลยีใหม่ และต้นทุนยังแพงอยู่ จึงมีแนวคิดในการสร้างเป็นรถประจำทางหรือรถเมล์สาธารณะ ขนาด 20 ที่นั่ง ขึ้นไป เพื่อให้บริการประชาชนน่าจะดีกว่า จึงมีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมาธิการวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การสื่อสาร และโทรคมนาคมขึ้น โดยมี ดร.นิลวรรณ เพชระบูรณิน เป็นประธาน และได้งบประมาณในการวิจัยจากสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) จำนวน 20 ล้านบาท
         "ตอนนี้อยู่ในขั้นตอนการผลิตเซลล์เชื้อเพลิงขนาด 11 กิโลวัตต์ เพื่อนำมาใช้กับรถประจำทาง ขนาด 20 ที่นั่ง จำนวน 2 คัน โดยใช้คันละ 3 สแตค มีต้นทุนสแตคละประมาณ 3 ล้านบาท ฉะนั้นต้นทุนของรถอยู่ที่เกือบ 10 ล้านบาท ราคานี้เป็นของเทคโนโลยีใหม่ที่ต้นทุนยังสูงอยู่ แต่เมื่อไหร่ที่มีเทคโนโลยีมารองรับมากกว่านี้ราคาแผงเซลล์เชื้อเพลิงอาจลดลงอยู่ที่ราคาประมาณล้านกว่าบาทต่อคัน ด้านตัวรถต้นทุนอยู่ที่ 1 ล้านบาท จึงถือว่ารถเมล์ 1 คัน ตกอยู่ที่ราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท เมื่อติดตั้งไฮโดรเจนด้านบนของตัวรถจะอยู่ที่ราคา 5 ล้านบาท ซึ่งราคารถเมล์ที่ใช้กันอยู่นี้ก็ อยู่ที่ราคาประมาณนี้ แต่ก่อมลพิษและเสียงดัง ถ้าน้ำมันขึ้นก็เก็บค่าโดยสารเพิ่มอีก แต่รถเมล์ไฮโดรเจนไม่ส่งผลกระทบ ดังกล่าว"
         รถเมล์ไฮโดรเจนจะแตกต่างจากรถเมล์ทั่วไปคือ มี 6 ล้อ ด้านละ 3 ล้อ มี 2 เพลา เพลาละ 8 กิโลวัตต์ รวมเป็น 16 กิโลวัตต์ เพื่อให้ขับได้แรงขึ้น เร็วขึ้น และมีสมรรถนะสูงขึ้น วิ่งด้วยความเร็ว 60 กม.ต่อชั่วโมง ที่เลือกรถขนาด 20 ที่นั่ง เพราะต้องการให้เกิดการคล่องตัวในการใช้งาน หากโครงการผ่านการพิจารณางบประมาณ คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 4-5 เดือน ในการปรับปรุงให้สมบูรณ์ ออกใช้งานได้จริง เพราะตัวรถเมล์ไม่ได้มีส่วนประกอบที่ซับซ้อนแต่อย่างใด
         ส่วนด้านสถานีเติมไฮโดรเจน และเรื่องกฎหมายรองรับการผลิต รวมทั้งการนำมาใช้งานจริงบนท้องถนน คงเป็นเรื่องที่ทางรัฐบาลต้องพิจารณาเป็นขั้นตอนต่อไป
         พล.อ.ท.มรกต ฝากความหวังไว้ว่า "เมื่อทำเป็นรถเมล์ไฮโดรเจนออกมาได้แล้ว ใช้งานได้จริง อยากให้รถต้นแบบทุกคัน ถูกเผยแพร่วิทยาการในส่วนนี้ไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหรือมีความสนใจ เพื่อจะได้ต่อยอดในส่วนต่างๆ ต่อไป เพื่อให้มีการปรับปรุง เปลี่ยนแปลง พัฒนาให้ดีขึ้น ราคาต้นทุนจะได้ถูกลง โดยอยากให้รัฐบาลช่วยสนับสนุนจะได้เป็นความรู้ที่มีการต่อยอดกันต่อไปในเชิงพาณิชย์ และที่สำคัญเป็นการสร้างงานให้กับคนไทยได้อีกทางหนึ่งด้วย"
         ผลงานชิ้นโบแดงนี้ ช่วยสร้างศักยภาพให้กับประเทศ และคนไทยไปแล้วในสายตาของชาวโลก คงเป็นเรื่องน่าเสียดาย หากขาดการสนับสนุนในเชิงสร้างสรรค์ และจริงใจ!
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก กระปุกดอตคอม

ฮอนด้านำเข้ารถยนต์จากประเทศยี่ปุ่น Honda Thailand, cars import from Japan.

-->
ฮอนด้านำเข้ารถยนต์จากประเทศยี่ปุ่น Honda Thailand, cars  import   from Japan.
ข่าวจากศูนย์รถยนต์ฮอนด้า สาขาบางพลี เปิดเผยว่า รถยนต์ค่าย Honda  เตรียมแผนนำเข้ารถยนต์ จากยี่ปุ่น  เป็นผลจากคนไทยมีความต้องการรถในบางรุ่นจากต่างประเทศเพิ่มขึ้น ขณะที่อีกส่วนหนึ่งเป็นผลจากมหาอุทกภัยที่เกิดขึ้นช่วงปลายปีที่ผ่านมา ทำให้โรงงานผลิต และรถยนต์ที่ผลิตเสร็จเรียบร้อยแล้วของบางค่ายได้รับความเสียหายมาก โดยเฉพาะค่าย Honda  ซึ่งรัฐบาลได้อนุมัติให้มีการนำเข้ารถยนต์สำเร็จรูปเพื่อส่งมอบให้กับลูกค้าโดยยกเว้นภาษี
ทั้งนี้รถยนต์ที่นำเข้าจากประเทศญี่ปุ่น ได้แก่ Jazz, Accord, Step Wagon, CRZ, Odyssey โดยได้เปิดให้จองฮอนด้าแจ๊ซ รุ่นนำเข้าตั้งแต่เดือนมีนาคม และจะทยอยเปิดให้จองรถยนต์นำเข้ารุ่นที่เหลือ ท่านสามารถโทรสอบถามความคืบหน้ารถยนต์นำเข้าที่ฝ่ายขาย ของบางพลีฮอนด้า โทร 02-316-3333 กด 1 เพื่อติดต่อฝ่ายขาย
ข้อมูลรถ Jazz นำเข้า
ข้อมูลรถ CR-Z นำเข้า 
ข้อมูลรถ Stepwagon นำเข้า
ข้อมูลรถ Odyssey นำเข้า 
ราคารถยนต์นำเข้า
Jazz JP/AT = 747,000 บาท สวิตช์ควบคุมเสียงบนพวงมาลัย
Jazz JP/AT = 751,000 บาท DVD/Bluetooth

CR-Z = 1,975,000 บาท

Step Wagon = 2,174,000 บาท

Odyssey = 2,557,000 บาท


Accord CBU 2.0 JP = 1,380,000 บาท สีขาวออร์คิด = 1,390,000 บาท
Accord CUB 2.4 JP = 1,680,000 บาท สีขาวออร์คิด = 1,690,000 บาท



สำหรับคุณสมบัติรถของแต่ละรุ่น สามารถเข้ามาชมและรับฟังข้อมูลจากที่ปรึกษาการขายที่โชว์รูมฮอนด้าบางพลี
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพจากโชว์รูมฮอนด้าบางพลี

วันเสาร์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2555

การเตรียมตัวสอบใบขับขี่รถยนต์ Driving License

-->
การเตรียมตัวสอบใบขับขี่รถยนต์  Driving  License.
การเตรียมตัวสอบใบอนุญาตขับขี่รถยนต์ หรือรถจักรยานยนต์  เป็นสิ่งสำคัญ  เพราะนอกจากจะเป็นตัวบ่งบอกว่าเราเรียนรู้และเข้าใจกฎหมายและเครื่องหมายจราจรแล้ว  ยังเข้าใจในการใช้รถใช้ถนนได้อย่างปลอดภัย  ตำรวจไม่จับ  เวลาเกิดอุบัติเหตุใบขับขี่สำคัญมากๆ  ในสมัยนี้  โดยเฉพาะ การประกันภัยชั้น 1   ที่รถใหม่ป้ายแดงถูกบังคับต้องทำประกันภัยทุกคัน  แล้วถ้าคุณไม่มีใบอนุญาตขับขี่ในขณะเกิดอุบัติเหตุ หล่ะ... จะเกิดอะไรขึ้น  จากที่คุณเป็นฝ่ายถูกจะกลับกลายเป็นฝ่ายผิดโดยไม่จำเป็น  เนื่องจากคุณไม่ได้รับอนุญาตให้ขับรถบนทางสาธารณะนั่นเอง 
เตรียมตัวอย่างไรก่อนการสอบใบขับขี่ 
-          อันดับแรกคุณต้องศึกษาและเรียนรู้กฎหมาย และเครื่องหมายจราจรต่างๆ ให้เข้าใจเสียก่อน
-          ต่อมาฝึกหัดขับรถให้เก่งพอประมาณหรือขั้นชำนาญเลยยิ่งดี ปรกติแล้วผู้ที่มีรถยนต์อยู่แล้วที่บ้าน อาจจะเป็นรถยนต์ของสามีหรือภรรยา  ช่วยฝึกหัดให้ก็จะดี เมื่อมีความมั่นใจแล้วค่อยสอบใบขับขี่  ถ้าที่บ้านไม่มีรถยนต์  คุณสามารถเข้าคอร์ทเรียนขับรถยนต์กับสถาบันที่เปิดสอนก็ได้
คุณสมบัติของผู้ที่มีสิทธิ์สอบใบขับขี่
- ใบขับขี่รถจักรยานยนต์ ต้องมีอายุ 15 ปี ขึ้นไป
- ใบขับขี่รถยนต์ ต้องมีอายุ 18 ปี ขึ้นไป
- ไม่เป็นผู้พิการทางสายตา (ตาบอด)
- ไม่มีอาการตาบอดสี
สำหรับผู้พิการดังต่อไปนี้ ถ้าต้องการทำใบขับขี่ ให้ติดต่อเจ้าหน้าที่กรมการขนส่งทางบกเพื่อรับคำปรึกษา
- ผู้พิการแขนขาดข้างเดียว
- ผู้พิการขาขาดข้างเดียว
- ผู้พิการตาบอดข้างเดียว
- ลำตัวพิการ
- หูหนวก
 เอกสารในการยื่นขอสอบใบขับขี่
- บัตรประชาชนตัวจริง พร้อมสำเนา
- กรณีไม่มีบัตรประชาชน ให้ใช้บัตรข้าราชการ หรือหลักฐานอื่น ๆ ที่ใช้แทน พร้อมสำเนา
- ทะเบียนบ้าน พร้อมสำเนา
- ใบรับรองแพทย์ มีอายุไม่เกิน 1 เดือน
- รูปถ่ายขนาด 1 นิ้ว (3x4 เซนติเมตร) ครึ่งตัว หน้าตรง ไม่สวมหมวก และแว่นตาดำ 2 รูป อายุไม่เกิน 6 เดือน
- ใบคำร้องขออนุญาตขับรถ จากกรมการขนส่งทางบก
ทดสอบสมรรถภาพทางร่างกาย ดังนี้
- ทดสอบตาบอดสี โดยให้เรียกชื่อสีหลังจากเห็นสัญญาณไฟจราจรจำลอง
- ทดสอบสายตาทางลึก โดยการกดปุ่มเลื่อนเสา 2 เสา ให้อยู่ตำแหน่งตรงกัน
- ทดสอบสายตาทางกว้าง เป็นการทดสอบการมองกระจกข้าง โดยการจ้องที่จุดสีตรงกลาง แล้วมีสีต่างๆ ขึ้นมาให้เห็นทางหางตาทั้งสองข้าง ให้ตอบให้ถูกต้องว่าสีที่หางตาคือสีอะไร
- ทดสอบการใช้เท้า โดยการเหยียบคันเร่ง แล้วเหยียบเบรกหลังเห็นสัญญาณไฟแดง ต้องผ่านเกณฑ์ 2 ใน 3 ครั้ง
อบรมทฤษฎีการขับขี่รถยนต์ การอ่านป้ายจราจรต่างๆ ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง
สอบข้อเขียนเกี่ยวกับทฤษฎีในการขับขี่รถยนต์และรถจักรยานยนต์ มีเวลา 1 ชั่วโมง
สอบปฏิบัติการขับขี่รถยนต์ 
ขั้นตอนต่างๆ  หลายท่านอาจจะทราบบรรทัดฐานมาแล้ว  แต่ผมจะเสริมในเรื่องที่หลายๆ ท่านอาจมองข้ามไป หรือคาดไม่ถึง  ในความเข้มงวดของเจ้าหน้าที่กรมการขนส่งที่ควบคุมในการทดสอบ แต่ละเขตที่อาจจะมีไม่เท่ากัน  ก็คือในเรื่องของเข็มขัดนิรภัย หรือที่เรียกกันติดปากว่า Safety Belt  นั่นเอง.... เมื่อท่านเปิดประตูรถยนต์และก้าวเท้าเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว  สิ่งแรกที่ควรทำคือคาด Safety Belt  ทันที  เพื่อป้องกันการลืม  เพราะถ้าท่านไม่คาดท่านจำไว้เลยว่า  ถึงท่านจะปฏิบัติขั้นตอนต่างๆ ได้อย่างถูกต้อง  ท่านอาจจะไม่ผ่านการทดสอบภาคปฏิบัติก็ได้  ที่ผมต้องใช้คำว่าอาจจะไม่ผ่าน”  เพราะขึ้นอยู่กับความเข้มงวดของเจ้าหน้าที่นั่นเอง