วันอังคารที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2555

การยื่นเอกสารขอใช้สิทธิ์ฯรถคันแรก

-->
การยื่นเอกสารขอใช้สิทธิ์ฯรถคันแรก

หลังจากได้จองรถ H0NDA JAZZ  และได้รับรถเรียบร้อยแล้ว ในขณะที่รอจดทะเบียนเพื่อให้ได้สำเนาคู่มือ  เพื่อยื่นขอใช้สิทธิ์ฯรถคันแรก  เหตุที่ต้องรอเพราะนโยบายรัฐบาล กรณีที่ซื้อหรือจองรถยนต์ก่อนวันที่ 30 กรกฎาคม 2555  ยื่นเอกสารหลักฐานตามที่ปรากฏในใบคำขอใช้สิทธิ์ฯ ทั้งหมดภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2555 ก็ได้ศึกษารายละเอียดพอสมควร  เรียกว่าทำการบ้านมาดีในการจัดการตามล่าเอกสารต่างๆ  เพื่อให้ทันกำหนด
เมื่อเอกสารครบจึงได้ให้ลูกสาวไปดำเนินการยื่นขอใช้สิทธิ์ฯ ที่สรรพากรสมุทรปราการ 2  (เพราะซื้อเป็นชื่อของลูกสาว)  พอลูกสาวไปถึงสรรพากรสมุทรปราการ 2 โทรศัพท์มาบอกว่าคนเยอะมากไม่ทันได้บัตรคิว  จึงให้กลับบ้านมาก่อน  ผมมาเริ่มมองหาช่องทางอื่นนึกได้ว่าสามารถยื่นขอใช้สิทธิ์ฯ ทางอินเตอร์เน็ทได้  จึงได้ดำเนินการยื่นแบบออนไลน์  และได้รับเลขที่รับแบบทางอินเตอร์เน็ทเรียบร้อย  ตกเย็นเลิกจากทำงานเวลาประมาณสามทุ่ม จึงลองไปสำรวจดูที่สรรพากรสมุทรปราการ 2  ปรากฏว่ามีคนมารอเต็มพื้นที่เลย   นี่แค่สามทุ่มเองนะเนี่ย  (แบบไม่ต้องหลับต้องนอนกันเลย) แต่ผมไม่สนใจถือว่ายื่นออนไลน์แล้ว  เพียงแต่รอส่งเอกสารเท่านั้น  หลังจากนั้นผมได้ขับรถกลับ
พอรุ่งเช้าให้ลูกสาวมาส่งเอกสาร  บอกว่าได้บัตรคิวที่ 5  สำหรับผู้ที่สมัครยื่นแบบออนไลน์มาแล้ว  ใช้เวลาแค่ประมาณ 10 กว่านาทีเอง  นี่ก็นับเวลาถอยหลังเหลืออีกเพียงไม่กี่วันกี่สิ้นปี 2555 แล้ว  ใครสนใจอยากยื่นใช้สิทธิ์ให้ทันลองศึกษา คู่มือการยื่นใช้สิทธิ์ฯผ่านอินเตอร์เน็ทโครงการรถใหม่คันแรกตามโครงการรัฐบาล
เอกสารมีดังนี้
1.ใบคำขอใช้สิทธิ์ฯ และเงื่อนไขสำหรับรถยนต์คันแรกตามนโยบายรัฐบาล 
2. สำเนาบัตรประชาชน
3. สำเนาทะเบียนบ้าน
4. สำเนาสัญญาเช่าซื้อ (กรณีเช่าซื้อ)
5. สำเนาบัตรประชาชน
6. สำเนาคู่มือจดทะเบียน
7. หนังสือยินยอมสละสิทธิ์การโอนรถยนต์ใหม่คันแรก (ต้องให้ ผู้ให้เช่าซื้อ เซ็นต์เอกสารด้วย)
8. สำเนาหลักฐานการซื้อขาย (ใบเสร็จรับเงินดาว์นจากไฟแน๊นท์)
9. สำเนาใบรับมอบรถยนต์
10. สำเนาหน้าแรกสมุดบัญชีธนาคาร  (ออมทรัพย์)


หลังจากได้เดินทางไปส่งเอกสารที่สรรพากร และได้ใบตอบรับเป็นที่เรียบร้อย  ได้ Login  เว็บสรรพากรดังภาพ

วันอังคารที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2555

การดูแลรักษารถยนต์เบื้องต้น


การดูแลรักษารถยนต์เบื้องต้น
ปัจจุบันสภาวะเศรษฐกิจประเทศไทย ถึงแม้ค่าจ้างแรงงานจะปรับตัวสูงขึ้นก็ตาม  แต่นั่นหมายถึงว่าค่าครองชีพก็สูงขึ้นเป็นเงาตามตัว  ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอาหารการกิน ข้าวของมีราคาแพงขึ้น ค่าน้ำค่าไฟฟ้าที่มองดูเหมือนถูกลงแต่ที่จริงไม่ได้ถูกลงอย่างที่คิด  ไหนจะค่าน้ำมันรถในการเดินทางไปทำงานหรือทำธุระต่างๆ  ไหนยังจะมีค่าบำรุงรักษารถยนต์อีกจิปาถะ  ทุกคนจึงต้องมองหาวิธีที่จะประหยัดเงินค่าใช้จ่าย  การดูแลรักษารถยนต์ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการใช้รถของผู้ที่มีรถ ไม่ใช่ว่ามีรถอยู่คัน มีกุญแจอยู่ดอก มีหน้าที่ขับก็ขับอย่างเดียว  ทุกวัน ทุกเดือน  ทุกปี  ขับมาเป็นปีแล้วยังไม่รู้เลยว่า ลมยางอ่อน  หม้อน้ำแห้ง  ระดับน้ำมันเบรกต่ำ  บทความนี้ผมจะแนะนำวิธี การดูแลรักษารถยนต์เบื้องต้น เพื่อช่วยผู้ที่มีรถยนต์และต้องการลดค่าใช้จ่ายการดูแลรักษารถสุดที่รักของตัวเองให้อยู่กับเราไปได้นานที่สุด
การดูแลรักษาเครื่องยนต์
1.       กระปุกน้ำมันเบรก                                      6.  สายพาน
2.       กรองอากาศ                                                  7.  ฝาปิดหม้อน้ำ
3.       ก้านวัดน้ำมันเครื่อง                                    8.  ถังพักน้ำสำรอง
4.       กระปุกน้ำฉีดกระจก                                   9.  แบตเตอรี่
5.       กระปุกน้ำมันพวงมาลัยเพาเวอร์              10. ก้านวัดน้ำมันเกียร์อัตโนมัติ
น้ำมันเบรก/น้ำมันคลัทช์
-          ควรตรวจสอบระดับน้ำมันเบรกและน้ำมันคลัทช์ในกระปุกอย่างน้อยเดือนละครั้ง
-          ระดับน้ำมันเบรกและน้ำมันคลัทช์ ควรอยู่ระหว่างขีดบน(MAX) และขีดล่าง(MIN)
-          ถ้าระดับน้ำมันเบรกและน้ำมันคลัทช์ต่ำกว่า(MIN) แสดงว่าผ้าเบรกสึกหรอจากการใช้งาน หรือระบบเบรกอาจรั่วซึม
ระดับน้ำมันพวงมาลัยเพาเวอร์
-          ควรตรวจสอบระดับน้ำมันพวงมาลัยเพาเวอร์ในกระปุกอย่างน้อยเดือนละครั้ง
-          ระดับน้ำมันพวงมาลัยควรอยู่ระหว่างขีดบน(UPPER) และขีดล่าง(LOWER)
-          น้ำมันพวงมาลัยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยน
-          หากสีของน้ำมันพวงมาลัยเพาเวอร์เปลี่ยน หรือมีน้ำปะปนควรเปลี่ยน
ระดับน้ำฉีดกระจกหน้า
-          ควรตรวจสอบระดับน้ำฉีดกระจกอย่างน้อยเดือนละครั้ง หรือก่อนเข้าฤดูฝน และก่อนเดินทางไกล
-          ไม่ควรใช้สารละลายอื่นเติม เช่น ผงซักฟอก อาจทำให้สีรถยนต์เสียหายได้
ระดับน้ำมันเครื่องยนต์
-          ควรตรวจสอบระดับน้ำมันเครื่องยนต์อย่างน้อยเดือนละครั้ง หรือทุกครั้งที่เติมน้ำมันเชื้อเพลิง และก่อนเดินทางไกล
-          ระดับน้ำมันบนก้านวัด ควรอยู่ระหว่างขีดบน และขีดล่าง
-          เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องทุกๆ 10,000 กม. หรือ 6 เดือน  หรืออย่างใดอย่างหนึ่งมาถึงก่อน
ระดับน้ำยาหล่อเย็น
-          ควรตรวจสอบระดับน้ำยาหล่อเย็นในหม้อพักอย่างน้อยเดือนละครั้ง
-          หากระดับน้ำยาหล่อเย็นต่ำกว่าขีดล่าง(MIN) ควรเติมให้อยู่ในระดับสูงสุด(MAX)
-          ไม่ควรเปิดฝาหม้อน้ำในขณะเครื่องยนต์ร้อน จะทำให้น้ำหล่อเย็นพุ่งออกมา และให้ได้รับอันตราย
ระดับน้ำกลั่นในแบตเตอรี่
-          แบตเตอรี่ Maintenance Free รับประกัน 1 ปี ไม่เกิน 50.000 กม.
-          ควรตรวจระดับน้ำกลั่นทุกๆ 6 เดือน
-          หากระดับน้ำกลั่นลดลง  ควรใช้น้ำกลั่นบริสุทธิ์เติมเท่านั้น
-          หากเติมน้ำกลั่นล้นโดนตัวรถยนต์ หรือโดนร่างกายควรล้างด้วยน้ำสะอาดทันที
การตรวจสภาพสายพานต่างๆ
-          สายพานแอร์
-          สายพานเพาเวอร์
-          สายพานไดชาร์ท
-          ควรตรวจสอบความตึง รอยแตก เสียง และสภาพสมบูรณ์หรือไม่
การตรวจสอบยางรถยนต์
-          ควรตรวจเช็คลมยาง  และปรับแต่งให้ถูกต้องตามอัตราที่กำหนด ในหนังสือคู่มือของรถยนต์เป็นประจำ
-          ห้ามปล่อยลมยางออก  เมื่อความดันลมยางสูงขึ้นขณะกำลังใช้งาน เพราะความร้อนที่เกิดขึ้นขณะใช้งาน เป็นตัวทำให้ความดันลมภายในยางสูงขึ้น เมื่อยางเย็นตัวลง ความดันลมยางก็จะกลับสู่สภาวะปกติ
-          สำหรับยางอะไหล่  ให้ตรวจเช็คลมยางให้ถูกต้องทุกๆ เดือน
-->

วันเสาร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ฮอนด้าบริโอ รถอีโคสปอร์ต Honda Brio

-->
ฮอนด้าบริโอ รถอีโคสปอร์ต  Honda Brio


ฮอนด้าบริโอ (Honda Brio) จากค่ายรถยนต์HONDA เป็นรถยนต์ขนาดเล็กประหยัดน้ำมัน หรือรถอีโคคาร์  ซึ่งปัจจุบันเริ่มเป็นที่รู้จักในประเทศไทยหลังจากที่เปิดตัวมาไม่นาน ฮอนด้าบริโอคือรถยนต์อีโคที่มากกว่าความประหยัดน้ำมัน 20 กิโลเมตร / ลิตร แต่ยังให้ความแรง 90 แรงม้า ด้วยเครื่องยนต์ 4 สูบ i-vtec ที่เหนือกว่ารถอีโคในระดับเดียวกัน มาพร้อมกับเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำนำสมัยของ HONDA ให้สูงขึ้นอีกระดับหนึ่ง ฮอนด้ามุ่งพัฒนายนตรกรรมรุ่นนี้ ให้ใช้งานง่าย สะดวกสบาย และคล่องตัวแม้ในสภาพการจราจรที่แออัดในเมือง รถต้นแบบ ฮอนด้า บริโอ้ มีขนาดเล็กกะทัดรัด ง่ายต่อการขับขี่ (ความยาว 3,610 มม. X ความกว้างกว้าง 1,680 มม. X ความสูง 1,475 มม.) ขณะที่ห้องโดยสารมีพื้นที่ใช้งานอย่างเพียงพอ ด้วยการจัดวางอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งฮอนด้าสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์รุ่นนี้ด้วยความพิถีพิถันอย่างยิ่ง เพื่อให้ได้รูปทรงที่ล้ำสมัย มีขนาดกะทัดรัด และโดดเด่นสะดุดตาในขณะเดียวกัน
สำหรับฮอนด้า บริโอ้ เป็นรถยนต์สำหรับผู้ที่กำลังมองหารถยนต์เป็นพาหนะ ฮอนด้าจึงพัฒนารุ่นที่เหมาะกับประเทศไทยและอินเดียโดยเฉพาะ ทั้งนี้เพื่อสะท้อนความต้องการที่แตกต่างกันของลูกค้าในทั้งสองประเทศ คุณสมบัติที่ทำให้ฮอนด้าบริโอเหนือกว่ารถอีโคในระดับเดียวกัน คือ เครื่องยนต์ 4 สูบ 16 วาล์ว ระบบ i-VTEC  ความจุกระบอกสูบ 1,198 cc ทุกรุ่น  นอกจากนี้ยังให้ความเป็นรถสปอร์ตโดยกระจังหน้าแบบโครเมี่ยม   สปอยเลอร์หลังและไฟเบรกดวงที่สาม พวงมาลัยมีรุศมีวงเลี้ยวแคบถึง 4.5 เมตร ช่วยให้เลี้ยวจอดในที่แคบได้ง่ายขึ้น ระบบความปลอดภัยมาตรฐานสากล มีถุงลมนิรภัยด้านคนขับและผู้โดยสารด้านหน้า พร้อมระบบป้องกันล้อล็อคตายด้วย ABS และกระจายแรงเบรค EBD  ช่วยลดการเกิดอุบัติเหตุในขณะเหยียบเบรกกะทันหันเมื่อรถวิ่งด้วยความเร็วสูง กุญแจนิรภัย immobilizer  จะไม่สามารถสตาร์ตเครื่องยนต์ได้หากไม่ใช่กุญแจรถยนต์ที่ถูกต้อง  เข็มขัดนิรภัยแบบดึงกลับอัตโนมัติ ช่วยลดแรงกดบริเวณหน้าอกเพื่อลดอาการบาดเจ็บ กระจกหลังเป็นกระจกนิรภัย ทนทานกับแรงกระแทกจากด้านหลัง  ทั้งหมดที่กล่าวมาเป็นอุปกรณ์มาตรฐานที่มีให้ทุกรุ่นในฮอนด้าบริโอ  จึงนับว่าฮอนด้าบริโอ เป็นรถอีโคสปอร์ตที่น่าจับตามองในตลาดเมืองไทย โดยเฉพาะฮอนด้าเป็นผู้นำตลาดรถยนต์นั่งอยู่แล้ว
ที่มา : HONDA THAILAND

วันจันทร์ที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

วิธีดูแลรักษาแบตเตอร์รี่ให้อายุการใช้งานที่นานขึ้น

-->
วิธีดูแลรักษาแบตเตอร์รี่ให้อายุการใช้งานที่นานขึ้น
ช่วงนี้อากาศเย็นลงบวกกับแบตเตอร์รี่เสื่อมสภาพ  ตอนเช้าเลยสตาร์ทรถไม่ค่อยติดบางวันก็ไม่ติดเลย บังเอิญมีรถยนต์สองคัน คือปิคอัพ ISUZU  สี่ประตู  และ HONDA  JAZZ  ที่เพิ่งถอยมาใหม่ยังไม่สิ้นกลิ่นป้ายแดง คันที่ว่าแบตเตอร์รี่เสื่อมคือ ISUZU  เลยไปหาซื้อสายพ่วงแบตเตอร์รี่มาพ่วง ก็พอประดังไปได้บ้าง  แต่คิดดูแล้วถ้าเกิดไปไหนมาไหนไกลๆ แล้วจอดทิ้งไว้เกิดสตาร์ทไม่ติดจะทำยังไง  ปัจจุบันแบตเตอร์รี่รถยนต์ขนาด 100 แอมป์  3 K  Battery ไม่แลกแบตเตอร์รี่เก่าราคา 2,500 บาท  GS Battery ราคา 2,600 บาท  มองดูแบตเตอร์รี่ลูกเก่าก็ยังใหม่  เลยคิดหาวิธีที่จะประหยัดเงินค่าแบตเตอร์รี่ ด้วยการล้างทำความสะอาดดู
ค้นหาข้อมูลจากอินเตอร์เน็ทเจออยู่เว็บหนึ่ง แต่เป็นคลิปวีดีโอหลังจากได้เปิดดูน่าสนใจไม่น้อยจึงได้จับใจความและลองมาทำดูได้ผลดีเกินคาด  พอดีบวกกับผมเป็นช่างไฟฟ้าเข้าทางผมพอดี  เลยจัดการซะ  ดังนั้นผมเห็นว่ามีประโยชน์อย่างมากที่จะช่วยให้ผู้ที่มีรถประหยัดค่าซ่อมบำรุงไปได้อีกนาน  จึงได้ทบทวนและร่างออกมาเป็นตัวหนังสือเพื่อเผยแพร่ทางเว็บไซต์  อาจจะไปซ้ำกับเว็บอื่นบ้างก็ขออภัย
อันดับแรกต้องเตรียมอุปกรณ์ก่อน
1.       น้ำยาล้างห้องน้ำ เป็ด ขวดสีม่วง   1    ขวด
2.       น้ำกรดผสมสำหรับเติมแบตเตอร์รี่ หาซื้อตามร้านขายแบตเตอร์รี่  ขวด (ใช้จริงประมาณ 4 ขวด )
3.       เพื่อความปลอดภัยควรสวมถุงมือยาง หาซื้อได้ทั่วไป
4.       กระบอกกรวย และภาชนะที่เป็นพสาติก
ขั้นตอนการทำความสะอาดแบตเตอร์รี่
                1.   อันดับแรกควรใช้หม้อหุงข้าวอลูมิเนียมใหญ่ๆ ต้มน้ำร้อนรอไว้ก่อนเลยให้เดือด
2. ถอดขั้วแบตเตอร์รี่และนำออกจากรถยนต์  จัดสถานที่ ที่จะทำความสะอาดให้เหมาะสมเช่นในที่โล่งแจ้ง อากาศถ่ายเทได้สะดวก  นำแบตเตอร์รี่มาวางและเขย่าให้ทั่วประมาณ 10 นาที    หลังจากนั้นเปิดฝาออกให้หมดแล้วคว่ำแบตเตอร์รี่ให้น้ำกรดลงในภาชนะที่เตรียมไว้
3.  นำน้ำร้อนเทกรอกใส่ไปในแบตเตอร์รี่ให้ครบทุกๆ ช่อง ให้ปริมาณน้ำร้อนท่วมแผ่นธาตุ  แล้วนั้นปิดฝาจุกแบตเตอร์รี่   จากนั้นเขย่าให้ทั่ว แล้วเทน้ำร้อนออก  ล้างด้วยน้ำร้อนประมาณ 2- 3 ครั้ง
4.   ก่อนนำน้ำยาล้างห้องน้ำ  เทใส่ในแบตเตอร์รี่  ควรนำน้ำร้อนเทใส่ลงไปให้ท่วมแผ่นธาตุแผ่นธาตุอีกครั้ง จากนั้นให้นำน้ำยาล้างห้องน้ำ (เป็ด)  รินใส่ฝาขวดให้เต็มพอประมาณและเทใส่ในช่องแบตเตอรี่  ช่องละ 1 – 2 ฝา  ปิดฝาจุกแล้วเขย่าให้ทั่ว   จากนั้นปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที  ถึง 1 ชั่วโมง
5.  เมื่อได้เวลาที่กำหนด  ก่อนเปิดฝาจุกแบตเตอร์รี่ควรทำการเขย่าให้ทั่วอีกครั้ง   จากนั้นเปิดฝาจุกออกเทน้ำยาล้างห้องน้ำออกให้หมด  สังเกตดูจะมีคราบตะกรันดำๆ ออกมากับน้ำ  หลังจากนั้นให้นำน้ำร้อนเทกรอกใส่ไปในแบตเตอร์รี่ให้ครบทุกๆ ช่อง  เพื่อล้างให้สะอาดสัก 2 – 3 ครั้ง  จากนั้นคว่ำทิ้งไว้ให้แห้งสนิท  น่าจะใช้เวลาประมาณ 2 – 3 วัน ถึงจะแห้งสนิท  แต่ผมรอไม่ได้เพราะไม่มีแบตฯสำรอง   ผมใช้น้ำกรดที่ซื้อมาเผื่อเกินไว้  เติมใส่ลงไปก่อนทุกๆ ช่อง  เพื่อให้น้ำกรดทำการไล่น้ำออก จากนั้นเทออกให้หมด
6.  จากนั้นได้เวลาเติมน้ำกรดที่จะใช้งานจริงลงไป  โดยเติมให้ครบทุกช่องตามระดับที่ระบุของแบตเตอร์รี่  แล้วปิดฝาจุก  แล้วนำไปชาร์จไฟให้เต็ม  ถ้าไม่มีเครื่องชาร์จไฟก็ต้องไปให้ตามร้านชาร์จให้  แต่ในกรณีของผมต่อพ่วงกับรถอีกคันหนึ่งให้ชาร์จไฟ  เลยสะดวกสบาย

วันศุกร์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ยางรถยนต์แตกขณะขับขี่ควรทำอย่างไร


ยางรถยนต์แตกขณะขับขี่ควรทำอย่างไร
ในการใช้รถยนต์บนท้องถนนนั้น มีโอกาสเป็นไปได้สูงที่รถยนต์  จะประสบอุบัติเหตุยางแตกกะทันหัน  ทั้งนี้เกิดได้หลายปัจจัยอาทิ  ยางรถยนต์หมดสภาพเนื่องจากใช้มาหลายปี ( ไม่เปลี่ยน)  โดนวัสดุทิ่มแทง  เมื่อยางแตกกะทันหัน อันดับแรกต้องควบคุมสติให้ดี  และปฏิบัติดังนี้   
เมื่อรถยางแตกขณะขับรถ มีข้อแนะนำให้ปฏิบัติดังนี้
1. ใช้มือทั้งสองข้างจับพวงมาลัยให้แน่นและมั่นคงควบคุมทิศทางรถยนต์
2. ถอนคันเร่งออก ลดความเร็ว
3. ควบคุมสติให้ดีอย่าตกใจ มองกระจกส่องหลังเพื่อให้ทราบว่ามีรถคันหลังตามมาติดๆ หรือไม่
4. แตะเบรกอย่างเบาและค่อยๆเลียเบรก อย่าแตะแรงๆ  เพราะอาจจะทำให้รถหมุน
5. ห้ามเหยียบคลัตช์โดยเด็ดขาดเพราะการเหยียบคลัตช์ จะทำให้รถยนต์เคลื่อนที่เร็วขึ้น เนื่องจากแรงเฉื่อยจากการขับขี่  ดังนั้นการลดความเร็วของรถที่ดีที่สุด  คือการใช้เครื่องยนต์ช่วยลดความเร็วลงโดยการถอนคันเร่งโดยไม่ต้องเหยียบคลัตช์
6. ไม่ควรดึงเบรกมืออย่างเด็ดขาด เพราะอาจจะทำให้รถหมุนตัวได้
7ให้สัญญาณไฟเลี้ยวซ้าย และเข้าจอดข้างทาง
หมายเลขโทรศัพท์ฉุกเฉิน
1. กองบังคับการตำรวจจราจร 197
2. กองบังคับการกองปราบปราม 195, 513-3844, 225-0085
3. กองบังคับการตำรวจดับเพลิง 199, 246-0199
4. ศูนย์ปราบปราม กรมตำรวจ (รถยนต์หาย) 205-2590-3
5. ตำรวจทางหลวง 193
6. ตำรวจท่องเที่ยว 169, 1155
7. ฝ่ายประชาสัมพันธ์ตำรวจทางหลวง 245-5277
8. ศูนย์ตำรวจนครบาลเหนือ 246-0999
9. ศูนย์ตำรวจนครบาลธนบุรี 246-0088-9
10. ศูนย์บริการข่าวสารท่องเที่ยว 280-1305
11. ศูนย์ช่วยเหลือนักท่องเที่ยว 281-5051, 282-8129
12. ศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบอุบัติเหตุเร่งด่วน 246-0052
13. แจ้งเหตุด่วน เหตุร้าย 191, 246-1338-42
14. บริการข่าวสารจราจร 1644
15. จส.100 ( FM 100.0 Mhz.) 711-9145
16. สวพ.91 ( FM 91.0 Mhz.) 1644, 562-0033-4
17. วิทยุชุมชน ร่วมด้วยช่วยกัน ( FM 96.0 Mhz.) 644-6996
18. สอบถามเด็กหาย 282-1815, 282-3892-3
19. กุญแจรถยนต์หาย 275-4343, 276-3367
20. ศูนย์ดับเพลิงศรีอยุธยา 199, 246-0199
21. ศูนย์ส่งกลับ และรถพยาบาลกรมตำรวจ 255-1133-6, 255-9913-6
-->

วันจันทร์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ฟอร์ด โฟกัส Ford New Focus


ฟอร์ด โฟกัส Ford  New   Focus
ฟอร์ด โฟกัสใหม่ มาแรงด้วยเทคโนโลยี โดยรุ่นท็อปแบบ 4 ประตูคือ รุ่นไทเทเนียม พลัส เอที เครื่องยนต์ขุมพลังดูราเทค 2.0 ลิตร DOHC 4 สูบ 16 วาล์ว  ระบบ Gasoline Direct Injection จะส่งผ่านน้ำมันไปยังกระบอกสูบโดยตรงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการประหยัดน้ำมัน ให้คุณมั่นใจกับการขับขี่ที่คุ้มค่า ในระยะทางที่ไกลกว่าแต่ใช้น้ำมันน้อยลง ให้กำลังสูงสุด 170 แรงม้า ที่ 6,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 202 นิวตัน-เมตร ที่ 4,450 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ เพาเวอร์ชิฟท์ 6 สปีด พร้อมโหมดเปลี่ยนเกียร์แบบธรรมดา ซีเล็คชิฟท์ และรองรับการใช้น้ำมัน E20
 ระบบช่วยจอดอัจฉริยะ Active Park Assist
ระบบช่วยจอดอัจฉริยะเป็นเทคโนโลยีเหนือชั้นที่ช่วยให้การเข้าจอดรถของคุณเป็นเพียงเรื่องง่าย ๆ เพียงแค่กดปุ่ม ระบบจะค้นหาช่องจอดที่เหมาะสมด้วยระบบเซ็นเซอร์ที่ติดอยู่รอบตัวรถ โดยการปล่อยคลื่นอัลตราโซนิครอบตัวรถเพื่อคำนวณทิศทาง จากนั้นพวงมาลัยจะหมุนเข้าจอดโดยอัตโนมัติ ผู้ขับเพียงแค่ควบคุมคันเร่ง เบรก และเกียร์ด้วยตัวเอง
ระบบช่วยเบรกที่ความเร็วต่ำ Active City Stop
ระบบที่ถูกออกแบบมาเพื่อช่วยลดการเกิดอุบัติเหตุจากการเบรกฉุกเฉินของรถคันหน้า ในสภาวะจราจรที่เคลื่อนตัวด้วยความเร็วต่ำกว่า 30 กม./ชม. หากเซ็นเซอร์ด้านหน้าตรวจจับได้ว่ารถคันหน้าหยุดโดยกระทันหัน ระบบจะสั่งให้รถเบรกเองอัตโนมัติ
ระบบเกียร์อัตโนมัติ PowerShift 6 Speed
ระบบเกียร์อัตโนมัติ PowerShift 6 Speed ของฟอร์ด โฟกัส ให้การเปลี่ยนเกียร์ราบรื่นยิ่งขึ้น โดยระบบจะเข้าเกียร์ถัดไปไว้ล่วงหน้า ทำให้ไม่มีการตัดกำลังขณะเปลี่ยนเกียร์ ผลที่ได้คือเพิ่มประสิทธิภาพความประหยัดน้ำมัน และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์

ระบบควบคุมแรงบิดขณะเข้าโค้ง Torque Vectoring Control
การควบคุมการขับขี่และการควบคุมพวงมาลัยยังแม่นยำในทุกโค้ง ด้วยระบบควบคุมแรงบิดขณะเข้าโค้ง Torque Vectoring Control ที่ตอบสนองปฏิกิริยาระหว่างถนนและผู้ขับขี่ 100 ครั้งต่อวินาที เพื่อปรับสมดุลของพลังระหว่างล้อหน้าทั้งสองได้อย่างต่อเนื่อง
ความปลอดภัย
ด้านความปลอดภัยนั้น ฟอร์ด โฟกัสใหม่จัดเต็มมาให้ตั้งแต่โครงสร้างตัวรถที่แข็งแรง ถุงลมนิรภัยคู่หน้าและด้านข้าง ม่านถุงลมนิรภัย ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัวแบบอิเล็กทรอนิกส์ ESP ระบบเบรก ABS
ข้อมูลทางเทคนิค
มิติตัวรถ (ยาว/กว้าง/สูง)    4,534/1,823/1,484 มม.
แบบเครื่องยนต์    ดูราเทค DOHC 4 สูบ 16 วาล์ว พร้อมระบบ Ti-VCT      
ความจุกระบอกสูบ    1,999 ซีซี    
กำลังสูงสุด    170 แรงม้า ที่ 6,600  รอบ/นาที  
แรงบิดสูงสุด    202 นิวตัน-เมตร ที่ 4,450 รอบ/นาที          
เกียร์อัตโนมัติ Power Shift 6 Speed
ราคา     1,069,000 บาท 
แหล่งที่มา : ฟอร์ดประเทศไทย
-->

วันอาทิตย์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ค่ายรถยนต์ทุกค่ายรถเดินหน้าเร่งการผลิต

-->
ค่ายรถยนต์ทุกค่ายรถเดินหน้าเร่งการผลิต
ค่ายรถยนต์ต่างๆ เดินหน้าเร่งอัตราการผลิตรถยนต์  หวังเคลียร์ยอดค้างจอง  เนื่องจากปีนี้เป็นปีทองของตลาดรถยนต์จริงๆ  ถ้าท่านติดตามข่าวออนไลน์ต่างๆ  รวมทั้งช่วงนี้มองไปทางไหนของท้องถนนแต่ละสาย  จะมีรถใหม่ป้ายแดง  ขับวิ่งกันให้ผ่านไปหมด  ทั้งนี้รวมทั้งตัวผมเองด้วยที่ซื้อรถ HONDA JAZZ 2012 ตอนทำสัญญาจองรถ  ระบุกำหนดรับรถปลายเดือนตุลาคม 2555  เซลล์ขายรถบอกว่าไม่แน่ใจว่าจะทันหรือไม่เพราะยอดจองเยอะมาก  ช่วงแรกใจเสียเอาเหมือนกันเพราะเกรงว่าจะรับรถไม่ทันสิ้นปี   แต่พอรัฐบาลประกาศขยายเวลาในการรับรถได้ถึงปี 2557  ค่อยโลงอก  นึกว่าชวดฉลูซะแล้ว  และตอนนี้ผมก็รับรถ HONDA JAZZ ป้ายแดงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เมื่อวันที่ 20  กรกฏาคม 2555  เร็วกว่ากำหนด  เดือน 
ความต้องการรถยนต์ปีนี้เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้เป้าหมายการขายในปีนี้ไม่นิ่ง โดยตั้งแต่ต้นปีวงการปรับตัวเลขไปแล้วหลายครั้ง เริ่มตั้งแต่ 1 ล้านคัน จนกระทั่งล่าสุดอย่างน้อยมี 2 ค่าย คือ TOYOTA  และMAZDAที่มองไปถึง 1,300,000 คัน ขณะที่ตลาดต่างประเทศก็คาดการณ์กันว่าจะทำได้ 1,000,000 คัน เท่ากับว่าปีนี้จะต้องมีการผลิตรถยนต์ในบ้านเรามากกว่า 1,200,000 คัน เหลืออีกส่วนหนึ่ง แบ่งให้กับรถนำเข้าจากต่างประเทศ หรือ ซีบียู
อย่างไรก็ตาม ความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เช่น ช่วงเดือนม.ค.-ส.ค.ที่ผ่านมา อยู่ที่ 867,703 คัน สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้ว 48% บวกกับการที่ภาคการผลิตรถยนต์มีปัญหาในช่วงต้นปี จากผลกระทบที่ต่อเนื่องมาจากปัญหาน้ำท่วมใหญ่ปลายปีที่แล้ว ทำให้ทุกค่ายมีปัญหาค้างจองจำนวนมาก ทำให้ต้องเร่งผลิตเพื่อส่งมอบรถให้กับลูกค้าให้ได้เร็วที่สุด
นายเคียวอิจิ ทานาดะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด  กล่าวว่า ตลาดรถยนต์เติบโตอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะตลาดในประเทศที่มียอดจองสูงมาก จึงต้องพยายามหาทางจัดการในเรื่องนี้ ซึ่งรวมถึงการปรับสัดส่วนตลาดในประเทศ และส่งออกใหม่ จากเดิม 50/50 จะเพิ่มตลาดในประเทศเป็น 54% และส่งออกลดลงเหลือ 46%
ทั้งนี้ในปัจจุบัน โตโยต้ามีโรงงานผลิต 3 แห่ง ที่พระประแดง เกตเวย์ และฉะเชิงเทรา มีกำลังการผลิต (capacity) รวมกัน 7 แสนคัน แต่ปีนี้โตโยต้า ตั้งเป้าจะผลิตให้ได้ 8 แสนคัน ซึ่งหมายถึงจะต้องหาทางเพิ่มการผลิตให้ได้มากที่สุด โดยที่ผ่านมาได้ดำเนินการหลายวิธี เช่น การลดเวลาประกอบรถลง โดยปัจจุบันโรงงานพระประแดงมีแทคไทม์ 56 วินาที (ทุกๆ 56 วินาที มีรถประกอบเสร็จออกจากสายการผลิต 1 คัน) เป็นระยะเวลาที่เท่ากับโรงงานของบริษัทแม่ในญี่ปุ่น ซึ่งถือว่าเป็นเวลาที่เร็วที่สุด และยังไม่มีโรงงานใดทำได้ ส่วนของโรงงาน เกตเวย์ และบ้านโพธิ์ ก็ดำเนินการลดแทคไทม์มาโดยตลอดเช่นกัน จากอดีตต้องใช้เวลามากกว่า 1 นาที-2 นาที ลดลงเหลือ 1 นาทีในปัจจุบัน
ด้านแหล่งข่าวกล่าวว่า นอกจากนี้โตโยต้ายังเพิ่มการทำงานล่วงเวลาหรือโอที ของการทำงาน 2 กะ กะละ 2.5 ชั่วโมง และทำงานเป็น 6 วันต่อสัปดาห์ อย่างไรก็ตาม ในทุกๆ สัปดาห์สิ้นเดือนจะหยุดทำงานวันเสาร์และอาทิตย์ เพื่อไม่ให้พนักงานรู้สึกเคร่งเครียดเกินไป
สำหรับ โตโยต้า ปัจจุบันมียอดค้างจองรถของลูกค้าโดยเฉลี่ย 2-3 เดือน ยกเว้น รถพีพีวี รุ่น ฟอร์จูนเนอร์ ที่ต้องรอ 5-6 เดือน

ฮอนด้าระบุไม่ถึงปีผลิตเต็ม 100%
นายพิทักษ์ พฤทธิสาริกร รองประธานอาวุโส บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ฮอนด้ายังมีรถค้างจองประมาณ 62,000 คัน โดยรุ่นที่ได้รับความนิยมมากที่สุด คือ ซิตี้ อย่างไรก็ตามขณะนี้ได้เร่งการผลิตเต็มที่ โดยมั่นใจว่าปีนี้จะสามารถผลิตได้เต็ม 100% ของกำลังการผลิตคือ 240,000 คัน
ทั้งนี้ช่วงต้นปีฮอนด้า ซึ่งได้รับผลกระทบจากปัญหาน้ำท่วมปลายปีที่แล้ว ไม่สามารถเปิดสายการผลิตได้ เพราะต้องติดตั้งเครื่องจักรใหม่มาทดแทนชุดที่เสียหาย เท่ากับว่าระยะเวลาที่เหลือไม่ถึงปีต้องเดินเครื่องให้ได้เท่ากับการผลิต 1 ปี โดยวิธีการที่นำมาใช้คือ แบ่งเป็นการทำงานล่วงเวลาในบางสายการผลิต และเพิ่มการทำงานจากเดิม 2 กะ กะละ 8 ชั่วโมง เป็นการทำงาน 3 กะ อย่างไรก็ตาม ฮอนด้ายังไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าการผลิตจะกลับสู่ภาวะปกติได้เมื่อไร เนื่องจากการขยายตัวของตลาดสูงมาก และมีแรงกระตุ้นจากนโยบายคืนเงินภาษีรถยนต์คันแรกของรัฐบาล
นายโชอิชิ ยูกิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ยอดขายของมาสด้า เติบโตโดยตลอด โดยเดือน ส.ค.ที่ผ่านมา สามารถทำได้สูงกว่า 7,000 คัน เป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกัน ซึ่งความต้องการที่เพิ่มขึ้นทำให้ต้องเร่งการผลิตเต็มที่ เพื่อส่งมอบรถค้างจองที่ยังมีอยู่จำนวนมาก ประมาณ 20,000 คัน  โดยก่อนหน้านี้มาสด้าได้ลงทุนเพิ่ม 800 ล้านบาท เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตในส่วนของรถปิกอัพ นอกจากนี้ก็โยกโควตาการส่งออก เพื่อส่งมอบให้กับลูกค้าภายในประเทศก่อน
จ้างเอาท์ซอร์สเพิ่มผลิต
นายโนบุยูกิ มูราฮาชิ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า โรงงานมิตซูบิชิในปัจจุบันมีการผลิตสูงกว่า 100% โดยใช้การทำงานล่วงเวลา นอกจากนี้ก็ปรับลดแทคไทม์ให้น้อยลง และมีการอบรมพัฒนาทักษะของพนักงาน ทำให้สามารถผลิตรถได้รวดเร็วยิ่งขึ้น

ปัจจุบัน มิตซูบิชิ มี 3 โรงงาน โดยโรงงานที่ 1 และโรงงานที่ 2 ซึ่งผลิตรถปิกอัพ รถพีพีวี และรถยนต์นั่ง เดินสายผลิตเต็มที่ แต่โรงงานแห่งที่ 3 ซึ่งผลิตรถอีโค คาร์ มิราจ ปัจจุบัน ผลิต 80% ของกำลังการผลิต เนื่องจากอยู่ระหว่างการพัฒนา และเมื่อทำได้เต็ม 100% จะทำให้มีการผลิตเพิ่มขึ้นอีกส่วนหนึ่ง

การที่โรงงานที่ 3 ยังทำได้ไม่เต็มที่ ทำให้มียอดค้างจองมิราจ รุ่นเกียร์อัตโนมัติ ประมาณ 5 เดือน ส่วนเกียร์ธรรมดาอยู่ที่ 2 เดือน ส่วนปิกอัพ และปาเจโรสปอร์ต ค้างจอง 1-2 เดือน

นายประพัฒน์ เชยชม รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ อาวุโส บริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ปัจจุบันยอดค้างจองของนิสสันมีอยู่ประมาณ 28,000 คัน และใช้เวลาส่งมอบ 1-3 เดือน โดยในส่วนของโรงงานปัจจุบันผลิตเต็มกำลังการผลิต 280,000 คันต่อปี และเพิ่มการทำงานเป็น 3 กะ แต่ยังไม่เพียงพอกับความต้องการ

นิสสัน ได้หาทางออกด้วยการจ้าง มิตซูบิชิ ให้ผลิตรถปิกอัพนาวาราให้ นอกจากนี้ก็ยังส่งงานสีบางส่วน ให้กับโรงงานสีภายนอกเพื่อเพิ่มการผลิตให้ได้สูงสุดอีกด้วย

ชิ้นส่วนเดินเครื่อง 24 ชั่วโมง
ด้าน นายถาวร ชลัษเฐียร โฆษกสมาคมผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไทย กล่าวว่า โรงงานชิ้นส่วนต่างเร่งผลิตเต็มที่ เพื่อให้ส่งมอบได้ทันความต้องการของโรงงานผลิตรถยนต์ และมีการปรับระบบการทำงานใหม่หลายแห่ง

"ตอนนี้การผลิตของชิ้นส่วนเราเรียกว่า 24730 หมายถึง ทำงาน 24 ชั่วโมงต่อวัน  7 วันต่อสัปดาห์  และ 30 วันต่อเดือน ซึ่งหมายถึงว่าเครื่องจักรจะเดินเครื่องตลอด ไม่มีวันหยุด ขณะที่ฝ่ายช่างก็จะต้องเตรียมพร้อม หากเกิดปัญหาขึ้นมา จะต้องเข้าถึงเครื่องจักรภายใน 3 นาที เพื่อจัดการแก้ไขโดยเร่งด่วน"

การเดินสายการผลิตในรูปแบบดังกล่าว ใช้วิธีการปรับระบบทำงาน โดยแบ่งพนักงานออกเป็น 3 กลุ่ม ทำงาน 2 กะ  กะละ 12 ชั่วโมง โดยแต่ละกลุ่ม จะทำงาน 4 วัน หยุด 2 วัน สลับกันไป ซึ่งการวนของ 3 กลุ่ม ทำให้เครื่องจักรเดินเครื่องได้ตลอดเวลา แต่พนักงานจะได้พักผ่อนเฉลี่ยเดือนละ 10 วัน

นายถาวร กล่าวว่า การทำงานวิธีนี้ทำให้สามารถผลิตได้มาก และพนักงานไม่เครียดเพราะมีวันหยุดเพียงพอ ซึ่งเป็นผลดีต่อสุขภาพ และความสามารถในการผลิต แต่ก็มีบางแห่งที่เพิ่มการทำงานเป็น 3 กะ

โตโยต้าเล็งขยายไลน์รถไฮบริด-ไฟฟ้า
ทางด้าน โตโยต้า มอเตอร์ คอร์ป ผู้ผลิตรถรายใหญ่ของญี่ปุ่น ประกาศที่กรุงโตเกียว ว่ามีแผนผลิตรถยนต์ไฮบริดรุ่นใหม่มากถึง 21 รุ่น ในช่วง 3 ปีต่อจากนี้ รวมถึง รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ ที่จะออกสู่ตลาดในปลายปีนี้ และรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยเซลล์เชื้อเพลิงรุ่นใหม่ ที่กำหนดวางตลาดปี 2558 เพื่อรองรับความต้องการรถยนต์ประหยัดพลังงาน และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมที่มีเพิ่มมากขึ้น

ค่ายรถยนต์รายนี้ระบุว่า จะนำเสนอรถยนต์คอมแพคไฟฟ้า "อีคิว" ที่ใช้โครงของรุ่นไอคิว ออกจำหน่ายในญี่ปุ่น และสหรัฐ ช่วงเดือนธ.ค.นี้ แต่บริษัทจะผลิตอีคิวออกมาเพียง 100 คันเท่านั้น และสำหรับการใช้งานเฉพาะด้านแบบเจาะจงด้วย โดยรถยนต์รุ่นดังกล่าว ที่จะใช้ชื่อว่า ไอคิว อีวี ในตลาดสหรัฐ จะมีราคาเริ่มต้นที่ราว 45,000 ดอลลาร์ โดยจะวิ่งได้ไกล  100 กิโลเมตร ต่อการชาร์จไฟหนึ่งครั้ง

ส่วนรถยนต์ที่ขับเคลื่อนโดยใช้เซลล์เชื้อเพลิงนั้น โตโยต้า ระบุว่า มีกำหนดที่จะออกจำหน่ายในอีก 3 ปีข้างหน้า แต่ยังไม่เผยรายละเอียด

นักวิเคราะห์ชี้ว่า โตโยต้าก็เหมือนกับค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นรายอื่นๆ ที่กำลังเร่งขยายธุรกิจให้กลับมารุ่งเรืองอีกครั้ง หลังจากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา บริษัทเหล่านี้ต้องเจอกับปัญหาจำนวนมาก ทั้งจากวิกฤติการเงินโลก และภัยธรรมชาติทั้งในญี่ปุ่น และที่ไทย ซึ่งส่งผลกระทบต่อสายการผลิตของบริษัท

บรรดาคู่แข่งของโตโยต้า ก็กำลังขะมักเขม้นกับแผนการนำเสนอรถยนต์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเช่นกัน เช่น นิสสัน มอเตอร์ โค ที่พุ่งเป้าใช้รถยนต์รุ่นลีฟ เป็นแกนนำในการขยับสู่การขับเคลื่อนสะอาด

ความท้าทายอื่นๆ ที่โตโยต้าอาจต้องเผชิญ รวมถึง เหล่าลูกค้าในตลาดเกิดใหม่  ซึ่งเป็นกลุ่มหลักในการผลักดันความต้องการรถยนต์โลกนั้น  ยังไม่ให้ความสนใจต่อรถยนต์ไฮบริด และรถประหยัดพลังงานมากนัก เพราะเทคโนโลยีที่รถเหล่านี้นำเข้ามาใช้ ทำให้รถยนต์มีราคาแพง
นายทาเคชิ อูจิยามาดะ ผู้บริหารที่รับผิดชอบด้านเทคโนโลยี และการพัฒนารถยนต์รุ่นใหม่ๆ ให้กับโตโยต้า เผยว่า ศักยภาพในระยะยาวสำหรับการขับเคลื่อนด้วยเซลล์เชื้อเพลิงถือว่ายอดเยี่ยม เมื่อเทียบกับรถยนต์ไฟฟ้า เพราะสามารถวิ่งได้ในระยะทางที่ไกลกว่า และใช้เวลาในการชาร์จไฟสั้นกว่า โดยมีความเป็นไปได้ว่า ภายในทศวรรษ 2020 รถยนต์เซลล์เชื้อเพลิงน่าจะขายได้นับหมื่นคัน
ทั้งนี้ รถยนต์ที่ถือว่าน่าจะใกล้เคียงกับรถยนต์แห่งอนาคตมากที่สุดในขณะนี้ คงจะหนีไม่พ้นรถยนต์ไฮบริดแบบปลั๊กอิน ซึ่งจนถึงขณะนี้ โตโยต้าจำหน่ายไปแล้ว 15,600 คัน นับแต่นำออกสู่ตลาดในช่วงต้นปี
แหล่งที่มา  กรุงเทพธุรกิจ

วันพฤหัสบดีที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2555

การเลือกซื้อรถยนต์

-->
การเลือกซื้อรถยนต์  How to  selection buy car.
ปัจจุบันรถยนต์ (Car ) ได้มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการดำเนินชีวิตประจำวันของคนเรา  นอกเหนือจาก ปัจจัยที่ 4 อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค  และที่อยู่อาศัย เพราะในทุกๆวัน มนุษย์ต้องมีการเดินทางจากที่หนึ่งไปยังสถานที่หนึ่ง เช่นการเดินทางออกไปทำงาน ซึ่งสถานที่ทำงานของแต่ละคนก็แตกต่างกัน บางคนก็ใกล้บางคนก็ห่างไกลจากที่ทำงานมาก  บางครั้งการโดยสารรถประจำทางอาจจะไม่สะดวกสำหรับอีกหลายๆ ท่าน หรือบางท่านอาจใช้รถยนต์เป็นแหล่งสร้างรายได้ เช่น รถแท๊กซี่  รถตู้โดยสารรับส่งนักเรียน และพนักงานตามโรงงาน  บริการทัศนาจรท่องเที่ยว  รถปิคอัพรับจ้างบรรทุกของ เป็นต้น
ดังนั้นรถยนต์ จึงเป็นพาหนะที่มนุษย์ได้เลือกนำมาใช้มากที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสังคมเมืองใหญ่ที่มีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้เกิดการกระตุ้นความต้องการของผู้บริโภค ให้ต้องการมีรถยนต์ส่วนตัวเพิ่มมากขึ้น และเนื่องจากสถานการณ์การขาดแคลนน้ำมันที่เกิดขึ้นทั่วโลก ทำให้เกิดภาวะน้ำมันแพง  ทางเลือกหนึ่งของผู้บริโภคในการเลือกซื้อรถยนต์นั่งส่วนบุคคล จึงปรากฏไปอยู่ที่รถยนต์นั่งขนาดเล็กหรือที่เรียกว่ารถยนต์ประเภทซับคอมแพกต์ (ขนาดเครื่องยนต์ 1500-1600 ซีซี) เพิ่มมากขึ้น ซึ่งรถยนต์ โตโยต้า วิออส จัดเป็นรถยนต์ขนาดเล็กที่ได้รับความนิยมสูงสุดจากผู้บริโภคดังจะเห็นได้จาก กราฟแสดงอันดับยอดขายรถยนต์ประเภทซับคอมแพกต์ในปีพ.ศ. 2549  
                แต่ปัจจุบัน ค่ายรถยนต์ต่างๆ ในบ้านเรา  ได้หันมาให้ความสำคัญกับรถยนต์ขนาดเล็กมากขึ้นอาทิ Honda Brio, Jazz,  Mitsubishi Mirage,  Nissan March,  Suzuki Swift,  Mazda 2ที่ผลิตรถยนต์ขนาด 1,200 ซีซี. และ1,500 ซีซี. กันมากขึ้น  แต่ การเลือกซื้อรถยนต์ สักคันหนึ่งนั้น  อันดับแรกต้องดูวัสถุประสงค์ของผู้ซื้อเองว่า
จะนำไปใช้ประโยชน์อะไรบ้าง? และจำเป็นแค่ไหน?  อันดับต่อมาเป็นการเลือกรถที่ตรงต่อความต้องการ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของเทคโนโลยี รถใหม่ป้ายแดง หรือว่ารถมือสอง แต่สิ่งที่ควรมองก็คือ ในเรื่องของการบริการหลังการขาย เช่นปริมาณศูนย์บริการ  ราคาอะหลั่ย   ราคาในการขายต่อ  เพราะเราอาจจะไม่ได้มีเงินมีทองมากมาย  เวลาอยากเปลี่ยนคันใหม่เนื่องคันเดิมใช้มาหลายปี  เมื่อเอาไปเทิร์นเปลี่ยนคันใหม่แต่ราคาตกลงอย่างน่าตกใจ   เพราะกระแสนิยมต่ำ